วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2552

การล่มสลายของทฤษฎีมุตอะฮฺในลัทธิชีอะฮฺ

เราได้พูดได้ฟังเรื่องราวการเล่นมุตอะฮฺในลัทธิชีอะฮฺมามากมายแล้ว ซึ่งพวกเขามักจะอ้างกันอยู่เสมอว่าในหลักการอิสลามนั้นอนุมัติเรื่องมุตอะฮฺแต่ท่านอุมัรมาห้ามไว้ โดยหยิบยกหะดีจากซอเฮี๊ยฮฺ บุคอรี มาอ้าง พร้อมกันนั้นก็ได้จาบจ้วงท่านอุมัรว่าเลวทรามระยำที่บังอาจมายกเลิกฮูกุ่มของอัลลอฮฺ อย่างไรก็ตามหะดีษดังกล่าวที่ชีอะฮฺอ้างๆนั้นหลอกได้แค่ชาวบ้านเท่านั้น เพราะมุตอะฮฺที่ท่านอุมัรยกเลิกนั้นคือ การทำฮัจญ์มุตอะฮฺ มิใช่ การนิกะฮฺมุตอะฮฺหรือการสมสู่ชั่วคราว!!!!! อีกทั้งบทบัญญัติการยกเลิกมุตอะฮฺนั้นท่านนบีเป็นผู้ยกเลิกเองโดยผ่านการริวายัตของท่านอะลี ซึ่งความจริงข้อนี้ได้ปรากฎในตำราชีอะฮฺเอง สะท้อนให้เห็นถึงความสัจจริงที่ไม่อาจปกปิดได้ กรุณาดูภาพแสกนจากตำราชีอะฮฺต่อไปนี้
Attached Image
450 x 1323 (81.82K)
รายงานจากท่านอิมามอะลี ท่านรอซูล(ศ็อลฯ) ห้ามการรับประทานเนื้อของลาบ้านและการนิกะฮฺมุตอะฮฺในวันค็อยบัร
หนังสือ "วะซาอิลุชชีอะฮฺ" กิตาบุนนิกะฮฺ โดย ซัยยิด ฮัรฺ อัรอามีลี
เอ้า ทีนี้จะยังสอนเรื่องมุตอะฮฺให้ขายหน้าอยู่อีกเรอะ โอ้ชีอะฮฺ ตื่นได้แล้ว จงทำลายมุตอะฮฺเสีย

โอ้ชีอะฮฺเลิกเสแสร้งว่าเป็นศัตรูกับอเมริกาได้แล้ว!!!!!!

โลกมุสลิมเคยฝากความหวังไว้กับกลุ่มชีอะฮฺและอิหร่านว่าจะเป็นฮีโร่ที่ต่อสู้กับอเมริกา โดยเฉพาะจุดยืนอันแข็งกร้าวของประธานาธิบดี อะมาดี นีญ็อด เคยประกาศจะต่อสู้กับอเมริกาและอิสราเอล อย่างไรก็ตามทั้งหมดเป็นแค่ละครตบตาโลกมุสลิมทั้งสิ้น เพราะทั้งอิหร่านและอเมริกาแม้จะแสดงตัวเป็นศัตรูกันแต่ไม่เคยสู้รบกันจริงๆเลย เป็นเพียงละครตบตาที่จะตัดกำลังมุสลิมที่คิดจะต่อสู้จริงๆเท่านั้น และแม้อิหร่านจะไม่มีสัมพันธ์ทางการทูตกับอเมริกาแต่อิหร่านและอเมริกามีตัวกลางที่คอยประสานผลประโยชน์อย่างลับๆร่วมกันอยู่ ดังภาพที่จะเห็นดังต่อไปนี้

ภาพข้างล่างนี้คือภาพถ่ายของ ซัยยิดอับดุลอะซีส อัลฮะกีม หัวหน้าขบวนการปฏิวัติอิสลามในอิรัค ซึ่งเป็นตัวแทนของชีอะฮฺทั้งมวลกับ จอร์จ บุช ซึ่งเป็นภาพถ่ายจากการแถลงการณ์ร่วมกันระหว่างชีอะฮฺกับอเมริกา(เกี่ยวกับผลประโยชน์ในอิรัค)

WASHINGTON - DECEMBER 4:  Iraqi Shiite Leader Abdul-Aziz al-Hakim (L) meets with US President George W. Bush (R) in the Oval Office of the White House December 4, 2006 in Washington, DC. Abdul-Aziz al-Hakim, who is the leader of the Supreme Council for the Islamic Revolution, is in Washington two days before the Iraq Study Group is set to release its report.

แล้วท่านรู้ไหม ว่าตัวแทนของชาวชีอะฮฺในอิรัคผู้กลอกกลิ้งรายนี้เป็นลูกน้องใคร ภาพนี้บอกคุณได้

ว้าวๆๆๆๆ คนซ้ายนะ ใหญ่นะนั่น ผู้นำสูงสุดของโลกชีอะฮฺ

Iranian supreme leader Ayatollah Ali Khamenei, left, and  Abdul-Aziz al-Hakim, the head of the Shiite bloc in parliament in Iraq, talk, during their meeting in Tehran, Iran, Monday, Feb. 5, 2007.

แล้วก็ลูกน้องหมอนี้อีกที อิๆๆๆ

user posted image


นอกจากอิหร่านจะตบตาชาวโลกแล้ว ชนชั้นนำของซาอุดี้อารเบีย ก็เป็นมิตรสหายของชัยตอนอเมริกาเช่นกัน


และอิหร่านก็เป็นมิตรสหายที่ดีกับซาอุดีอารเบียอีกที ใครที่เคยหลงคิดว่าประธานาธิบดี อะมาดีนิญ็อด ของอิหร่าน เกลียดซาอุดีอารเบีย เกลียดวะฮะบี คิดใหม่ได้แล้ว มันเป็นแค่เกมส์ตบตาชาวโลก เพราะจริงๆทั้งสองรักกันมาก


ประธานาธิบดีอิหร่าน(คนซ้าย)กับกษัตริย์อับดุลลอฮฺของซาอุฯ ยิ้มระรื่นกัน ในโอกาสเยี่ยมเยียนกัน


ส่วนนี่คือเจ้าชายบันดาร์ บินอับดุลลอฮฺ ผู้ฝักใฝ่ตะวันตกกับเราะฮฺบัต อะลี คอมาเนอี ซึ่งอะลีคอมาเนอี สนับสนุนเจ้าชายคนนี้อย่างมาก (หนุนสะลาฟีที่ชอบอเมริกา และเกลียดสะลาฟีที่ต่อต้านอเมริกาโดยให้ฉายาว่า กลุ่มวะฮาบี)



ในขณะเดียวกัน นายมุคตาดาร์ อัซซ็อดรฺ ผู้นำของกองทัพมะฮฺดี ของชีอะฮฺในอิรัค ก็ชอบซาอุดี้เหมือนกัน
จากภาพนายมุคตาดร์ เยี่ยมเยียนกษัตริย์อับดุลลอฮฺ ในราชวังฤดูร้อน


ในขณะเดียวกัน กลุ่มฮิสบุลลอฮฺ ก็นิยมอิหร่านที่เป็นพรรคพวกของอเมริกาอีกที




นูรี มะลีกี ประธานาธิบดีอิรัคชาวชีอะฮฺเด็กปั้นของบุช กับประธิบดีอิหร่าน สายสัมพันธ์ที่ซ่อนเร้น





ซัยยิดอับดุลอะซีส อัลหะกีม ลูกน้องของอิหร่านกับโดนัล รัมส์เฟลต้นคิดของการทำสงครามอิรัค นี่เหรอ ชีอะฮฺที่ประกาศจะต่อสู้กับอเมริกา



ตัวแทนของอเมริกา กับตัวแทนของอิหร่าน


อุลามะอฺชีอะฮฺในอิรัค ลูกน้องของซัยยิดอับดุลอะซีส อัลหะกีม กับ ทหารอเมริกา จูบเชื่อมพันธมิตรกันดูดดื่ม


อุลามะอฺชีอะฮฺในอิรัค นำตัวแทนอเมริกาออกตรวจท้องที่



ซัยยิด ฮะซัน ผู้นำศาสนาชีอะฮฺในอิรัค จูบปากอย่างดูดดื่มกับตัวแทนอเมริกา คนซ้ายนะคุ้นๆไหม พลเอกโคลิน พาวเวลส์ ไง



หน้าตาเหมือนไอ้มาน บ้านเราเลย แหมๆ รักกันจริง สองคนนี้



แหกตาดูซะ ชีอะฮฺ ท่านเราะฮฺบัต อะลี คอมาเนอี ของท่านจับมือกับคอลิน พาวเวลส์ ลูกน้องไอ้บุช




เว็บไซต์มุนาฟิกชื่อว่า www.islamichomepage.com เคยลงภาพการจับมือระหว่างซัยยิด ต็อนตอวี อธิบดีอัสฮัรกับเอฮุด โอเมิด แล้ววิจารณ์ว่าเชคซุนนีคนนี้ควรลาออกไปเสีย ไม่เหมาะสมแล้วกับตำแหน่ง เรามาดูภาพนี้กัน

อิมามคอตามีของอิหร่านกับรัฐมนตรีต่างประเทศของอิสราเอล






ตัวแทนอเมริกาเยี่ยมเยียนพบปะนักศึกษาอิหร่านในเมืองกุม ประเทศอิหร่าน




สรุปคือ มุนาฟิกทีทำให้โลกนี้ปั่นป่วนคือ ชีอะฮฺ(อิหร่าน อิรัค) ผู้นำอาหรับและอเมริกา


ภาพทีท่านกำลังเห็นอยู่ต่อไปนี้คือ ภาพของชาวชีอะฮฺในอเมริกาที่กำลังละหมาดญะนะซะฮฺ แก่ทหารอเมริกาที่เสียชีวิตในอัฟกานิสถานซึ่งเป็นทหารอเมริกาที่ได้เข้าไปปล้นฆ่าพี่น้องมุสลิมในอัฟกานิสถาน หฟากสังเกตุจะพบว่ามีการนำธงชาติอเมริกาไปห่อศพของผู้ตายอย่างสมเกียรติโรงเรียนชีอะฮฺ

[4:145]แท้จริงบรรดามุนาฟิกนั้นอยู่ในชั้นต่ำสุดจากนรก และเจ้าจะไม่พบผู้ช่วยเหลือใดๆ สำหรับพวกเขาเป็นอันขาด

ภาพข้างบนเป็นภาพของ นายฮาชิม รีดอ อุลามะชีอะและอิมามมัสยิดฟาติมะ(มัสยิดชีอะฮฺ)ในนิวยอคร์ กำลังละหมาดญานาซะให้กับทหารอเมริกาที่ตายในสงครามอัฟกานิสถาน นี่คือโฉมหน้าของชีอะฮฺที่ปรากฎในขณะที่คนทั่วโลกกำลังเดือดร้อนเรื่องปาเลสไตน์

[72:18]และว่าแท้จริงบรรดามัสยิดนั้นเป็นของอัลลอฮ์ ดังนั้น พวกเจ้าอย่าวิงวอนขอผู้ใดเคียงคู่กับอัลลอฮ์

[14:36]โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงพวกมันได้ทำให้มนุษย์ส่วนใหญ่หลงทาง

ดุอากันด้วยความน้อบน้อม ถามว่าเรื่องในปาเลสไตน์ชีอะฮฺเคยดุอาแบบนี้ไหม

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552

เมื่อซัลมาไม่ตามอะฮฺลุลบัยตฺ!!!!!!!!!!!!!!

เรื่องของการสาบานมุบาฮาละฮฺนั้นในหมู่ชาวชีอะฮฺเห็นจะไม่มีเรื่องใดที่ถูกกกล่าวขานไปกว่าเรื่องที่ท่านนบีได้นำเอาคนทั้งสี่(ท่านอะลีและครอบครัว)ไปร่วมสาบานมุบาฮาละฮฺกับชาวคริสต์เตียนจากนัจรอน แต่อย่างไรก็ตามซัลมาหญิงชาวชีอะฮฺที่โอหังท้าทายชาวซุนนะฮฺตามเว็บบอร์ดต่างๆกลับทำตัวบิดพลิ้วและแหกคอกจากทางของอะฮฺลุลบัยตฺที่พวกเขา อ้างอยู่เสมอว่ายึดตาม ดังเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้
เมื่อช่วงเวลาประมาณ 9:45 นาที ของวันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552 ผมได้รับแจ้งจากหน่วยต่อต้านชีอะฮฺแห่งประเทศไทยว่ามีหญิงชีอะฮฺคนหนึ่งเข้าไปโพทะนาเรื่องหลักความเชื่อของชีอะฮฺในเว็บบอร์ดของ
http://www.mureed.com/ และได้ท้าทายพี่น้องซุนนะฮฺว่าข้องใจเรื่องอะไรเกี่ยวกับชีอะฮฺเจอได้ที่อีเมลนี้ salmabkk@gmail.com ผมเองก็ได้เข้าไปดูในเว็บบอร์ดดังกล่าวก็ดังที่คาดหญิงคนดังกล่าวไม่ใช่ใครที่ไหนคือนาง "ซัลมา" นั่นเอง สำหรับพี่น้องมุสลิมที่นิยมท่องโลกไซเบอร์โดยเฉพาะตามกระดานสนทนาเรื่องซุนนี-ชีอะฮฺ ต่างๆ ก็คงจะรู้จักชื่อ ซัลมา นี้ดี เพราะดูเหมือนไม่มีชีอะฮฺคนใดอีกแล้วที่จะป่วนเว็บบอร์ดเหมือนที่ซัลมาเป็นอยู่ อย่างไรก็ตาม ซัลมา คนนี้หาใช่ผู้ที่รอบรู้อะไรไม่ ก็เป็นแค่เพียงคนไร้สมองที่ดีแต่ก็อปปี้บทความจากเว็บชีอะฮฺต่างๆมาวางไว้ในเว็บบอร์ด โดยไม่สนใจเลยด้วยซำว่าบทความที่นำมาจะถูกใครตอบโต้ไปกี่รอบแล้ว หลักฐานในบทความจะดออีฟ(อ่อน) แค่ไหน ไม่สน ขออย่างเดียว ให้ได้โพส อย่างไรก็ตามผมได้เข้าไปแสดงความเห็นในเว็บบอร์ดดังกล่าวต่อไปนี้
No. : 40062
ข้อความ:คำถามที่ส่งไปถามคุณซัลมาล้านรอบแล้วไม่เคยได้รับคำตอบ

เฮอะ คุณซัลมา
ผมเห็นเที่ยวเข้าไปก็อปปี้บทความจากเว้บชีอะฮิอีกแล้วนะแล้วก้เอาโพสไว้ในเว้บอาจารมุรีดตามเคยนะ
เฮ้อๆๆๆ น่าสงสาร คิดเองบ้างสิ
ผมเหนคุนท้าทายนัก ขอถามเลยนะ
รูกุ่นอีมานห้าประการ ขอหลักฐานหน่อยเอามาจากไหน ยกมาเลยครับจากตำราสี่เล่มที่เก่าแก่ที่สุดของชีอะฮฺ(คิดว่าคงรู้จักนะครับจะได้ไม่ต้องบอก) ยกมา ว่าอิมามคนใดรายงานว่าอิสลามมีอูศูลห้าข้อเอามาเลยครับ ถ้าอูศูลใหญ่ๆแค่นี้คุณยังไม่มีหลักฐานมันก็พิสูจน์แล้วล่ะครับว่าพวกคุนนะตอแหลต่ออะฮฺลุลบัยตฺ


จนบัดนี้ไม่เคยได้รับคำตอบ
poisonthewell@windowslive.com
ผู้ส่ง:แนวร่วมอิสลามไม่เอารอฟิเดาะฮฺ : IP : 114.128.74.157
วันที่ส่ง: 4/24/2009 10:51:39 AM
อันที่จริงก่อนหน้านี้เกือบเดือนแล้ว ผมได้ส่งคำถามไปทางอีเมลเพื่อขอหลักฐานจากคุณซัลมาเรื่องรูกุ่นอีมานห้าประการตามความเชื่อของชีอะฮฺหลายๆครั้ง แต่ไม่เคยได้รับคำตอบมาเลย สะท้อนให้เห็นถึงความอับจนของคุณซัลมาและลัทธิชีอะฮฺที่ไม่สามารถจะตอบคำถามผมได้ อย่างไรก็ตามคุณซัลมาได้ตอบมาว่า


No. : 40066
ข้อความ:คำถามที่ส่งไปถามคุณซัลมาล้านรอบแล้วไม่เคยได้รับคำตอบ

เฮอะ คุณซัลมา
ผมเห็นเที่ยวเข้าไปก็อปปี้บทความจากเว้บชีอะฮิอีกแล้วนะแล้วก้เอาโพสไว้ในเว้บอาจารมุรีดตามเคยนะ
เฮ้อๆๆๆ น่าสงสาร คิดเองบ้างสิ
ผมเหนคุนท้าทายนัก ขอถามเลยนะ
รูกุ่นอีมานห้าประการ ขอหลักฐานหน่อยเอามาจากไหน ยกมาเลยครับจากตำราสี่เล่มที่เก่าแก่ที่สุดของชีอะฮฺ(คิดว่าคงรู้จักนะครับจะได้ไม่ต้องบอก) ยกมา ว่าอิมามคนใดรายงานว่าอิสลามมีอูศูลห้าข้อเอามาเลยครับ ถ้าอูศูลใหญ่ๆแค่นี้คุณยังไม่มีหลักฐานมันก็พิสูจน์แล้วล่ะครับว่าพวกคุนนะตอแหลต่ออะฮฺลุลบัยตฺ


จนบัดนี้ไม่เคยได้รับคำตอบ
poisonthewell@windowslive.com

ผู้ส่ง: แนวร่วมอิสลามไม่เอารอฟิเดาะฮฺ
.......................................................................

เขียนตอบไม่ทันหรอกคะ ที่นี่พวกเขาทั้งลบ ทั้งบล็อกข้อความ

แล้วนำมาลงนี่นี่ภายหลังก็ได้ ไม่ว่ากัน

ไปพบกันที่ salmabkk@gmail.com ดีกว่านะคะ

ไปก่อนค่า......
ผู้ส่ง:ซัลมา : IP : 125.24.0.222
วันที่ส่ง: 4/24/2009 10:55:12 AM

ด้วยเหตุนี้ผมจึงตอบกลับไปว่า

No. : 40071
ข้อความ:คุนซัลมาอย่าตอแหลสิครับ นี่แหละตะกียะของจริง ผมส่งคำถามไปทางอีเมลเกือบเดือนกว่าแล้วเรื่องหลักศรัทธาห้าประการไม่เคยได้รับคำตอบ
นี่เมลผม
poisonthewell@windowslive.com
lovesahabah_ahlulbayte@windowslive.com
ผู้ส่ง:แนวร่วมอิสลามไม่เอารอฟิเดาะฮฺ : IP : 114.128.74.157
วันที่ส่ง: 4/24/2009 10:58:36 AM

อย่างไรก็ตาม คุณซัลมายังคงหลอกผู้อื่นโดยกล่าวหาว่าผมไม่เคยส่งคำถามไปหาและโกหก ด้วยเหตุนี้ผมจึงเขียนไปว่าผมขอท้าสาบานมุบาฮาละฮฺกับคุรซัลมาดังข้างล่างนี้



No. : 40076
ข้อความ:ตอแห>เก่งจริงนะ ผมส่งอีเมลไปหาคุนไม่รุ้กี่ครั้งไม่เคยตอบ

................................

ด้วยพระนามของอัลลอฮ์
หากท่านส่งมาจริงแล้วดิฉันไม่ตอบ ขอให้ดิฉัน ได้รับการลงโทษทั้งดุนยาและอาคีเราะฮ์

แต่หากท่านยังมิได้ส่งมา แล้วมา "โกหก"
ขอให้ท่านได้รับสิ่งเดียวกัน
ผู้ส่ง: ซัลมา : IP : 125.24.0.222
...........................................................

คุนซัลมาแน่จริง มาสาบานมุบาฮาละไหม ถ้าผมส่งไปจริงๆ ขอให้คุนตกมุรตัดเปนกาเฟรลงนรก แต่ถ้าผมโกหก ขอให้ผมตกมุรตัดเปนกาเฟรก้ได้ เอ้าเอาไหม รับคำท้ามา
ผู้ส่ง:แนวร่วมอิสลามไม่เอารอฟิเดาะฮฺ : IP : 114.128.74.157
วันที่ส่ง: 4/24/2009 11:01:57 AM



แล้วคุณซัลมาก็ตอบมาว่า



No. : 40080
ข้อความ:นซัลมาแน่จริง มาสาบานมุบาฮาละไหม ถ้าผมส่งไปจริงๆ ขอให้คุนตกมุรตัดเปนกาเฟรลงนรก แต่ถ้าผมโกหก ขอให้ผมตกมุรตัดเปนกาเฟรก้ได้ เอ้าเอาไหม รับคำท้ามา
ผู้ส่ง: แนวร่วมอิสลามไม่เอารอฟิเดาะ

.................................

รับสาบานคะ

แต่ช่วยกรุณาลงรายละเอียดได้ไหมคะเกี่ยวกับ "สาบานมุบาฮะละฮ์" คะ
ว่ามันเป็นมาอย่างไร?
ผู้ส่ง:ซัลมา : IP : 125.24.0.222
วันที่ส่ง: 4/24/2009 11:05:14 AM



คุณซัลมาครับ ผมมั่นใจว่าคุณคงรู้ดีแก่ใจว่าใครกันแน่โกหกและหลีกหนีการตอบคำถามมาตลอด เพราะผมมีหลักฐานเป็นจดหมายอีเมลที่ส่งไปหาคุณและไม่เคยได้รับคำตอบกลับมาเลย แต่การที่คุณกล้ารับคำสาบานทั้งๆที่ผมระบุเงื่อนไขอย่างชัดเจนว่า "ถ้าผมส่งไปจริงๆ ขอให้คุนตกมุรตัดเปนกาเฟรลงนรก แต่ถ้าผมโกหก ขอให้ผมตกมุรตัดเปนกาเฟรก้ได้ เอ้าเอาไหม รับคำท้ามา" ก็ขอให้เป็นไปตามนั้นนะครับ เพราะหลังจากการสนทนาในเว็บบอร์ดนี้ผมเองยังส่งคำถามไปหาคุณอีกหลายๆครั้ง แต่คุณไม่ยักตอบมาเลย มิหนำซำ ยังตะลบตะแลงเลี่ยงประเด็นไปพูดเรื่องรายละเอียดของมุบาฮาละฮฺ โดยไม่ตอบคำถามผมตามเคย



No. : 40081
ข้อความ:อยากรู้เรื่อง "สาบานมุบาฮะละฮ์" คะ

มีในกุรอานและฮะดิษไหมคะ
ใครก็ได้ช่วยตอบนะคะ
ผู้ส่ง:ซัลมา : IP : 125.24.0.222
วันที่ส่ง: 4/24/2009 11:07:11 AM



ผมขอเป็นพยานต่ออัลลอฮฺว่า หญิงชีอะฮฺคนนี้บิดพลิ้วและสาบานพล่อยๆออกมาโดยเอาความเป็นความตายมาสาบาน ก็ขอพระองค์อัลลอฮฺทรงใหเป็นไปตามคำสาบานด้วยเถิด อามีน

อย่างไรก็ตาม กรณีนี้มันทำให้ผมคิดว่า การตะกียะฮฺ คงสามารถนำมาใช้ในคำสาบานได้ด้วยแน่ๆ ซัลมา หญิงชาวชีอะฮฺจากสถานทูตอิหร่านคนนี้จึงกล้าสาบานออกมา และนั่นคงเป็นคำตอบได้ดีว่า ทำไมในวีดีโอการดีเบทระหว่างนักวิชาการซุนนะฮฺกับสุลัยมาน ฮูซัยนี ฝ่ายชีอะฮฺจึงกล้าท้าสาบานในประเด็นเรื่องอัลกุรอาน ว่าชีอะฮฺเชื่อว่าครบ ทั้งๆที่ตำรามากมายของชีอะฮฺระบุว่ามันไม่ครบ!!!!!

ในความเป็นจริงนั้น ประเด็นเรื่องหลักการศรัทธาห้าประการ ตามหลักความเชื่อของชีอะฮฺนั้น เป็นเรื่องที่ฝ่ายชีอะฮฺกระวนกระวายมาดดยตลอด เพราะมันเป็นข้อพิสูจน์ชิ้นสำคัญเลยว่า ชีอะฮฺไม่ได้ตามอะฮฺลุลบัยตฺ ดังที่อ้างไว้ เพราะหากชีอะฮฺดำเนินรอยตามอะฮฺลุลบัยตฺแล้วไซร้โครงสร้างทางศาสนาอันสำคัญขนาดนี้จึงไม่มีหลักฐานรับรองจากตำราชีอะฮฺเลย เพราะขนาดตำราอันเก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดสี่เล่มของโลกชีอะฮฺอย่าง อัลกาฟี หรือ มันลายะฮฺฎุรุฮุลฟะกีฮฺ ก็ไม่ปรากฎริวายัตเรื่องการแบ่งรูกุ่นอีมานออกเป็นห้าประการเลย

เรื่องราวอีกประการหนึ่งที่เป็นข้อพิสูจน์ได้ดีก็คือ ชีอะฮฺคนหนึ่ง ซึ่งเป็นนักศึกษาอิหร่านใช้อีเมลว่า fix_minsar4@hotmail.com ซึ่งมักจะเข้าไปก่อกวนในเว็บบอร์ดเสมอ ข้าพเจ้าได้ทำการเสวนากับเขาและได้ตอบโต้เขาไปทุกๆแง่มุมอย่างละเอียด พอมาถึงคำถามที่ข้าพเจ้าถามไปเรื่องรูกุ่นอีมานห้าประการ เขาก็หายหัวไปอย่างไร้ร่องรอยไปเลย จนมาบัดนี้ข้าพเจ้ายังไม่ได้รับคำตอบเลย ถ้าเจ้าตัวอ่านอยู่ก็ส่งคำตอบมาด้วย พ่อหนุ่มไก่อ่อนอิหร่านเอ้ย

จนข้าพเจ้ามานั่งคิดว่า หรือชีอะฮฺจะมัวแต่ขุดคุ้ยซอฮาบะฮฺมากเกินไป หาข้อผิดในแนวทางซุนนะฮฺมากเกินไป และมัวแต่หาหลักฐานจากตำราซุนนะฮฺเพื่อมารองรับความเชื่อนอกรีตของเขามากไป เขาเลยไม่เคยกลับไปตักนำใส่กระโหลกชะโงกดูเงาตัวเองเลยว่า ในแนวทางของชีอะฮฺนั้นแม้กระทั่งรูกุ่นอีมานอันเป็นโครงสร้างทางศาสนาก็ยังหาหลักฐานจากตำราฝ่ายตนมารับรองไม่ได้ ก็น่าสมเพทนะครับว่าถือศาสนาอะฮฺลุลบัยตฺประเภทไหนเรื่องมันจึงได้ออกมาอิรุงตุนังขนาดนี้ และขนาดว่าเป็นเรื่องใหญ่ๆขนาดนี้ยังไม่มีหลักฐานมารองรับจะไปนำประสาอะไรกับเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อย ที่ต้องเลอะเทอะตามไปอย่างแน่นอน

สุดท้ายนี้ผู้เขียนไม่มีอะไรจะพูดมากไปกว่าความต้องการที่จะให้ภาพถ่ายของอุลามะอฺชีอะฮิชื่อดังเป็นผู้พูดแทนครับ

นี่แหละ รอฟิเดาะฮฺชีอะฮฺ






วัฒนธรรมการวาดภาพในลัทธิธรรมเนียมชีอะฮฺ

เรื่องของรูปวาดภาพวาดตลอดจนรูปปั้นนั้น ตามที่เรารู้กันมันเป็นสิ่งต้องห้ามในหลักการของอิสลาม ยิ่งถ้าหากเป็นรูปวาดที่อิงแอบอยู่กับความเชื่อทางศาสนายิ่งถือว่าอิสลามห้ามอย่างเด็ดขาด ในบรรดาศาสนาในโลกทั้งหมดนี้ดูเหมือนศาสนาทั้งหมดแทบจะต้องมีภาพวาดไม่ของพระเจ้าก็เป็นของศาสดาหรือเทพต่างๆที่เป็นเคารพกันในศาสนิกของคนเหล่านั้น ไว้ประดับประดาหรือไม่ก็ในเชิงของการแสดงความเคารพทั้งสิ้น

ภาพวาดของโมเสสในจินตนาการของชาวยิว


ภาพวาดของพระเยซูในจินตนาการของคริสต์เตียน


พระศาสดาคุรุนานักของศาสนาซิกส์


ในความเป็นจริงนั้น มีเพียงแค่อิสลามเท่านั้นที่รอดพ้นจากประเพณีและธรรมเนียมการวาดภาพทางศาสนาซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ของศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่เหล่ามุสลิมต่างภาคภูมิใจมาเป็นเวลายาวนาน
แต่!! อย่างไรก็ตามวันนี้ ความภาคภูมิใจดังกล่าวได้ถูกทำลายลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว เมื่อกลุ่มลัทธิชีอะฮฺนอกรีตที่อ้างตัวว่าเป็นอิสลามและแถมอ้างตัวว่าเป็นอิสลามที่บริสุทธิ์จากวงวานของท่านนบีกลับแสดงออกทางด้านรูปวาดทางศาสนาแทบจะไม่ผิดเพี้ยนไปจากศาสนาอื่นๆเลย สิ่งที่กำลังจะกล่าวต่อไปนี้บรรดาชีอะฮฺอย่าตะกียะฮฺให้เหนื่อยปล่าวเลยครับ ว่าไม่จริ๊งๆๆๆ เพราะเราพบหลักฐานการฟัตวาจากนาย อะลี ซิสตานี อุลามะอฺชีอะฮฺแห่งอิรัค ในยุคปัจจุบันที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกซึ่งเขาได้ระบุในฟัตวาของเขาว่าเป็นที่อนุมัติที่จะวาดภาพบรรดาอิมามของพวกเขา!!!

อะลี ซิสตานี ผู้ฟัตวาว่าอนุมัติที่จะวาดภาพทางศาสนา



อะลี ซิสตานี ผู้ได้รับการยกย่องจากชีอะฮฺจนถึงขนาดมีผู้คนนำภาพเขาไปติดกันตามผนังบ้านควบคู่ไปกับภาพท่านอิมามอะลี(ตามจินตนาการของชีอะฮฺ)ดังภาพข้างล่างนี้



หลักฐานการฟัตวา

جذور الإنحراف

جذور الإنحراف

جذور الإنحراف

موقع فيصل نور


ต่อไปนี้คือตัวอย่างภาพทางศาสนาในกลุ่มลัทธิความเชื่อชีอะฮฺ


ภาพเปรียบเทียบระหว่างชีอะฮฺกับคริสต์ ทางซ้ายชีอะฮฺทางขวาคริสต์



ภาพบรรดาอิมามสิบสองของชีอะฮฺ


ภาพคุรุนานักในศาสนาซิกส์ถามว่าต่างกับชีอะฮฺตรงไหน


ภาพวาดในจินตนาการชีอะฮฺ คนกลางคือท่านนบีอุ้มเด็กชายสองคนคือฮะซันและฮุเซน คนขวาคือท่านอะลีคนซ้ายท่านหญิงฟาตีมะฮฺและด้านหลังคือมลาอิกัต!!





สร้อยคออิมามอะลี ของชีอะฮฺ ความบ้าคลั่งที่เกินบรรยาย

Gold pendants bearing the image of Imam Ali, the most revered figure in Shiite Islam, hangs on a display cabinet at a goldsmith shop in the Shiite stronghold of Sadr City in Baghdad on June 22, 2008. Shiite Muslims regard Imam Ali as the first infallible Imam, and consider him and his descendants as the rightful successor of prophet Muhammad.


ภาพของท่านอะลีประหนึ่งกลายเป็นของบูชา


หญิงชีอะฮฺกับการทำความเคารพภาพของท่านอะลี


ท่านอิมามซัยนุลอะบีดีนกับจินตนาการของชีอะฮฺ เมื่อตอนถูกจับไปวังของยะซีด


ทั้งกอดทั้งจูบ

An Iraqi Shiite woman kisses the picture of Shiite Imam Ali as she heads with her family to the Shiite Shrine "al-Khatwa," believed to be the first place visited by the late Imam when he came to the southern city of Basra, as Shiites celebrate the anniversary of his martyrdom 15 October 2006. Hundreds of thousands of Shiite pilgrims thronged today the Iraqi shrine city of Najaf in a peaceful commemoration of the death of one of their most revered figures, while bombs exploded elsewhere in the country. Officials in Najaf estimated that at least a million pilgrims arrived in the city to pay their respects under heavy security at the golden-domed shrine to Imam Ali, one of the sect's pivotal figures.

รูปจำลองหัวของท่านฮุเซนโดบพวกชีอะฮฺ




ความเพ้อฝันของอุลามะอฺชีอะฮฺ

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

ชีอะฮฺ&ยิว เราจะเป็นพันธมิตรกันตราบจนวันตาย

อิบน ซะบาอฺชายชาวยิวกับผู้เป็นกำเนิดลัทธิชีอะฮฺ
อิบนฺ ซะบาอฺเสนอความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺ
อิบนฺ ซะบาอฺรู้จักจิตวิทยาของมนุษย์เป็นอย่างดี และเขายังรู้ว่าเมื่อไรและที่ไหนควรทำอย่างไร เขาเสนอหลักความเชื่อว่าภายหลังท่านศาสดา ศ็อลฯ จากไปแล้ว ท่านอะลี รอฎิฯ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องและเป็นบุตรเขยของท่านนั้นเป็นบุคคลที่ประเสริฐที่สุดเมื่อ เปรียบเทียบกับบรรดาชนชั้นนำทั้งหลายของอิสลามในขณะนั้น เขาเที่ยวสาธยายหะดีษของท่านศาสดา ศ็อลฯ ที่เกี่ยวกับการยกย่องท่านอะลี รอฎิฯ มากมายหลายหะดีษ ในบรรดาหะดีษเหล่านี้มีหะดีษปลอมที่เขากุขึ้นเองก็มากเหมือนกัน เมื่อลูกศิษย์และสมัครพรรคพวกของเขาเกิดความเชื่อในสถานภาพอันสูงส่งขอ งท่านอะลี รอฎิฯ ในฐานะที่เป็นบุคคลที่ประเสริฐที่สุดภายหลังการจากไปของท่านศาสดา ศ็อลฯ แล้ว เขาจึงเสนอหลักความเชื่อใหม่ขึ้นอีกประการหนึ่ง กล่าวว่าศาสดาทุกท่านต่างก็มี " วะซี " (คนสนิท)ด้วยกันทั้งนั้น วะซีผู้นี้คือคนที่รักษาความลับสำคัญๆ ที่ศาสดาแต่ละท่านจะมอบเอาไว้ให้ด้วยความไว้วางใจ วะซีของท่านนบีมูซาได้แก่ท่านยูซะ(โยชัว) บุตรของนูน ส่วนวะซีของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ ได้แก่ท่านอะลี อิบนฺ อบีตอลิบ เขายังเน้นย้ำว่าการมีศรัทธาในหลักความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺนั้นเป็นสิ่งจำเป็น(วายิบ)เป็นอย่างมากเหมือนกับการศรัทธาในหลักเตาฮีดและภาวะศาสดาของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ สำหรับคนที่ด้อยปัญญาและหลอกลวงได้ง่าย เขาจะบอกโดยลับว่า ท่านอะลีมีปาฏิหารย์เหนือมนุษย์ทั้งหลาย ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เขาประกาศว่าท่านอะลีเป็นพระเจ้าที่จุติลงมาเกิด ในหมู่มุสลิมนั้น มีหลายคนที่ไม่พอใจตระกูลบนูอุมัยยะฮฺ และให้การสนับสนุนบนูฮาชิม คนเหล่านี้จึงตอบรับการโฆษณาชวนเชื่อของอิบนฺ ซะบาอฺได้ในฉับพลัน ทั้งๆที่หลายคนของพวกเขาเป็นผู้มีความรู้และมีไหวพริบดี อิบนฺ ซะบาอฺและพลพรรคของเขาได้ทำงานอย่างลับๆ และหลบๆ ซ่อนๆ เพื่อที่จะเผยแพร่แนวความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺและความยิ่งใหญ่ของท่านอะลี รอฎิฯ ในท่ามกลางมุสลิมสมัยนั้นอิบนฺ ซะบาอฺมีความระมัดระวังในการเลือกช่วงเวลาและโอกาสอันเหมาะสมสำหรับปฏิบัติการและป่าวประกาศสิ่งใดก็ตาม เมื่อจำนวนคนที่เชื่อในเรื่องอิมามะฮฺมีเพิ่มมากขึ้น เขาจึงบอกคนเหล่านั้นว่าท่านศาสดา ศ็อลฯ ได้มอบมรดกการสืบต่ออำนาจปกครองแทนท่านให้กับท่านอะลี รอฎิฯ เอาไว้อย่างชัดเจน ดังนั้นท่านอะลี รอฎิฯ จึงเป็นเคาะลีฟะฮฺท่านแรกต่อจากท่านศาสดา ศ็อลฯ และยังเป็นอิมามคนแรกของบรรดามุสลิมทั้งหลาย เขายังเผยแพร่ต่อไปอีกว่าบรรดาเศาะหาบะฮฺ(มิตรสนิท)ของท่านศาสดา ศ็อลฯ จงใจละเลยและไม่นำพาต่อพินัยกรรมของท่านศาสดา ศ็อลฯ เกี่ยวกับการสืบอำนาจผู้นำของท่านอะลี รอฎิฯ นอกจากนี้เขายังป่าวประกาศอีกว่าบรรดาเศาะหาบะฮฺเป็นผู้ฉ้อฉลสิทธิการสืบอำนาจปกครองอันเป็นมรดกของท่านอะลี รอฎิฯ เศาะหาบะฮฺเป็นคนที่หลงไหลในผลประโยชน์และตำแหน่งหน้าที่ทางโลก เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงสมควรได้รับคำประณามหยาบเหยียดเพราะเหตุดังกล่าวนั้น อิบนฺ ซะบาอฺผู้นี้แหละเป็นคนแรกที่เริ่ม " ตะบัรฺเราะฮฺ " (การใส่ร้ายป้ายสีบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านศาสดา ศ็อลฯ) หลังจากนั้นเขาได้ดำเนินตามแผนการร้ายอีกขั้นหนึ่ง กล่าวคือเขาได้ยุยงให้พลพรรคของเขาเปลี่ยนท่านอะลี รอฎิฯ มาดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺแทนที่ท่านอุษมาน รอฎิฯ หนทางที่จะทำให้ท่านอะลี รอฎิฯ ได้ดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺอย่างแน่นอนนั้น อาจจะสำเร็จได้โดยการสร้างความวุ่นวายทางการเมืองขึ้นมา แล้วปลดท่านอุษมาน รอฎิฯ ออกจากตำแหน่ง หรืออาจจะสำเร็จได้โดยการสังหารชีวิตท่าน เขาทำการปลุกปั่นยุยงประชาชนให้ต่อต้านรัฐบาลของท่านอุษมาน รอฎิฯ โดยโจมตีเรื่องการแต่งตั้งมัรวานเป็นเลขาธิการใหญ่ ซึ่งมัรวานเองได้อาศัยอำนาจในตำแหน่งทำการบรรจุคนจากตระกูลเดียวกับตน (บนูอุมัยยะฮฺ)เข้าไปยึดครองตำแหน่งหน้าที่ต่างๆในรัฐบาลจนหมดสิ้น อิบนฺ ซะบาอฺโหมโฆษณาว่า มีการใช้อำนาจบาตรใหญ่และความอยุติธรรมอยู่ทุกหนทุกแห่ง และสถานการณ์เลวร้ายในขณะนั้นเรียกร้องให้ประชาชนก่อการปฏิวัติทฤษฎีอิมามะฮฺทฤษฎี "อิมามะฮฺ" นี้เป็นเรื่องอุปโลกน์ที่อับดุลลอฮฺ บินซะบาอฺเสกสรรปั้นแต่งขึ้นอย่างแท้จริง เขาสร้างมันให้เป็นหลักความเชื่อพื้นฐานสำหรับชาวชีอะฮฺโดยตรง ชีอะฮฺทุกกลุ่มต่างก็ยึดถือทฤษฎีนี้ในฐานะที่เป็นรากฐานของศาสนาของพวกเขา ทั้งๆที่หลักความเชื่อนี้ไม่ปรากฏว่ามีอยู่ในอัล-กุรฺอานหรือในหะดีษของท่านศาสดา ศ็อลฯ ซึ่งเป็นต้นตอของคำสอนต่างๆในอิสลามแต่อย่างใด อัล-กุรฺอานมิได้ให้การสนับสนุนทฤษฎี "อิมามะฮฺ" แม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม อัล-กุรฺอานได้ปฏิเสธทฤษฎีดังกล่าวเสียด้วยซ้ำไป เมื่อไม่พบหลักฐานใดจากอัล-กุรฺอานและหะดีษมาสนับสนุนหลักศรัทธาพื้นฐานของพวกเขา ชาวชีอะฮฺจึงกล่าวหาบรรดาผู้รวบรวมบันทึกอัล-กุรฺอานในยุคต้นว่าทำการดัดแปลงอัล-กุรอาน โดยป้ายสีพวกเขาว่าตัดทอนอายะฮฺต่างๆ ที่สนับสนุนหลักศรัทธาของพวกเขาออกจากอัล-กุรฺอานไปจนหมดสิ้น โดยเฉพาะทฤษฎีอิมามะฮฺ จุดยืนที่บรรดาสาวกของอิบนฺ ซะบาอฺยึดอยู่ได้แก่ การกล่าวว่าอัล-กุรฺอานขนานแท้และดั้งเดิมนั้นมีอยู่ 70,000 อายะฮฺ แต่ถูกตัดทอนลงเหลือเพียง 6,666 อายะฮฺเท่านั้น พวกเขากล่าวหาว่ามีอัล-กุรฺอานมากกว่าครึ่งหนึ่งถูกปิดบังเอาไว้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหาหลักฐานหรือข้อพิสูจน์ใดๆมาสนับสนุนคำกล่าวหา ของตนเองได้ นอกจากการอ้างว่าอิมามอัล-ฆอยบฺ(ผู้หลบซ่อน)หรืออิมามคนที่ 12 ของพวกเขาเป็นผู้เก็บรักษาอัล-กุรฺอานฉบับสมบูรณ์ขนานแท้และดั้งเดิมที่มีอยู่ 70,000 อายะฮฺเอาไว้ และท่านจะมอบอัล-กุรฺอานดังกล่าวคืนให้กับโลกเมื่อท่านได้กลับมาอีกครั้งหนึ่งก่อนวันอวสานของโลกนี้เมื่ออัล-กุรฺอานมิได้สนับสนุนทฤษฎีอิมามะฮฺ ชาวชีอะฮฺจึงกุหะดีษปลอมขึ้นโดยอ้างเท็จให้กับท่านศาสดา ศ็อลฯ ในทำนองว่าหลักความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺถูกสอนให้กับท่านอะลีแต่เพียงผู้เดียว และเป็นไปอย่างเร้นลับเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่จะสนับสนุนความเชื่อของพวกเขา ชาวชีอะฮฺมักจะอ้างอิมามบากิรฺและอิมามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกอยู่เป็นประจำ พวกเขายัดเยียดข้อความต่อไปนี้ว่าเป็นคำพูดของท่านอิมามบากิรฺเกี่ยวกับเรื่องอิมามะฮฺ "อัลลอฮฺ ผู้ทรงสูงส่งทรงบอกความลับเรื่องวิลายะติลลาฮฺ(อำนาจการปกครองของพระเจ้า)ให้ญิบรีล อะลัยฮิสสะลาม รับทราบ แล้วญิบรีลได้บอกความลับเรื่องนี้ให้ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ รับทราบ จากท่านนบี ศ็อลฯ เรื่องนี้ได้รับการถ่ายทอดเป็นความลับต่อไปยังท่านอะลี ซึ่งท่านอะลีได้บอกความลับเรื่องนี้ต่อไปยังบุคคลที่ท่านต้องการ บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่พวกท่าน(ชีอะฮฺ)จะต้องประกาศให้คนทั่วไปได้รับรู้" เรื่องนี้ท่านอิมามบากิรฺจะล่วงรู้หรือไม่ว่ามีการยัดเยียดคำพูดให้กับตัวท่านอย่างไร้ความจริงเกิดขึ้นแล้ว!ขอให้รับทราบกัน ณ บัดนี้เลยว่า ทฤษฎีอิมามะฮฺนั้นเป็นความลับที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีมาโดยตลอด ในหมู่มลาอิกะฮฺ มีเพียงญิบรีล อะลัยฮิสสะลาม เท่านั้นที่ทราบเรื่อง ในบรรดานบีทั้งหลาย มีเพียงนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ เท่านั้นที่ทราบเรื่อง ในท่ามกลางเหล่าเศาะหาบะฮฺ มีเพียงท่านอะลีเท่านั้นที่ทราบเรื่อง แต่จากตำราอ้างอิงที่น่าเชื่อถือทั้งหลาย ท่านอะลีจะบอกความลับเรื่องนี้ให้บุคคลใดรับทราบบ้างนั้น ยังไม่เป็นเรื่องที่รู้กันแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ขอให้เราพยายามมองให้เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ ทฤษฎีอิมามะฮฺนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ ในเมื่อความเชื่อในหลักการข้อนี้เป็นสิ่งจำเป็นหลักของศาสนาสำหรับมวลมนุษยชาติทั้งหลาย แล้วทำไมถึงต้องเก็บเป็นความลับมากขนาดนั้น พิจารณาตามเหตุผลแล้ว จะต้องประกาศเรื่องนี้ออกไปให้คนทั้งหลายได้รับรู้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าโองการอะไรก็ตามที่พระเจ้าประทานลงมาเพื่อมวลมนุษยชาติ โองการนั้นมิใช่จะมุ่งหมายไปยังบุคคลหนึ่งๆเป็นการเฉพาะ หรือคนของชนชั้นใดเป็นพิเศษ ถ้าคำสอนใดก็ตามที่มุ่งหมายเพื่อมนุษยชาติทั้งหลาย แต่กลับมีลักษณะเร้นลับ คำสอนนั้นย่อมจะไม่สมเหตุผล และให้ถือได้เลยว่าคำสอนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า สัจธรรมย่อมจะสมเหตุผลเสมอ สิ่งใดก็ตามที่ดูไร้เหตุผล สิ่งนั้นย่อมเป็นความเท็จตามหนังสือ "มัญจฺมะ บิฮารุล อันวารฺ" บันทึกเอาไว้ว่า ในยามที่ท่านศาสดา ศ็อลฯ จากโลกนี้ไป ขณะนั้นเศาะหาบะฮฺของท่านมีจำนวน 124,000 คน ในหมู่เศาะหาบะฮฺ มีจำนวน 7,500 คนที่เคยนำหะดีษของท่านศาสดา ศ็อลฯ มาใช้อ้างหรือสั่งสอน เรารู้จักพวกเขาในนามของผู้รายงานหะดีษ แต่ไม่มีเศาะหาบะฮฺสักคนเดียวที่รายงานหะดีษเกี่ยวกับทฤษฎีอิมามะฮฺให้เรารับทราบกันชาวชีอะฮฺเชื่อว่าตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺ(ผู้สืบทอดอำนาจการปกครองเหนือบรรดามุสลิม)เป็นสิทธิของอิมามผู้บริสุทธิ์และปราศจากความบาปทั้งมวลเหมือนกับนบีไม่มีผิด การเชื่อฟังอิมามเป็นภาระที่มุสสลิมจะต้องกระทำ อิมามได้รับการแต่งตั้งจากอัลลอฮฺ ศุบหฯ และจากคุณสมบัติดังกล่าวของอิมาม อิมามจึงเป็นเคาะลีฟะฮฺของบรรดามุสลิม แต่ท่านอบูบักรฺ ซิดดีก ท่านอุมัรฺและท่านอุษมาน รอฎิฯล้วนขึ้นสู่ตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺโดยการบัยอะฮฺ(การให้สัตยาบันแสดงการยอมรับในตัวผู้นำ)ของประชาชน สิ่งสำคัญที่ควรจะให้ความสังเกตุ ณ ที่นี้ก็คือว่า ท่านอะลี รอฎิฯ เสนอบัยอะฮฺให้กับเคาะลีฟะฮฺสามคนก่อนหน้าท่าน(คือท่านอบูบักร อุมัรและอุษมาน รอฎิฯ)ด้วยความสมัครใจและจากความยินดี สำหรับชาวชีอะฮฺแล้ว ในบรรดาเคาะลีฟะฮฺสามคนนี้ไม่มีใครสักคนที่บริสุทธิ์และปราศจากบาปเช่นนบีของพระเจ้า ดังนั้นท่านทั้งสามจึงไม่มีความเหมาะสมสำหรับตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺแต่อย่างใดสิ่งที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่งก็คือ ท่านอะลี รอฎิฯ อิมามคนแรกของชาวชีอะฮฺเองไม่เคยกล่าวสักคำว่า เคาะลีฟะฮฺสามคนก่อนหน้าท่านขาดคุณสมบัติในการเป็นเคาะลีฟะฮฺ อีกทั้งท่านยังไม่เคยปฏิเสธที่จะยอมรับภาวะเคาะลีฟะฮฺที่แท้จริงในตัวท่านทั้งสามอีกด้วย ถ้าจะว่ากันตามที่ชาวชีอะฮฺอ้างว่าท่านอะลีรับทราบเกี่ยวกับเรื่องอิมามะฮฺแล้ว ในขณะที่ท่านอบูบักร รอฎิฯได้รับการคัดเลือกให้เป็นเคาะลีฟะฮฺคนแรกของท่านศาสดา ศ็อลฯนั้น ท่านอะลีก็ควรจะประกาศเรื่องนี้ออกไปโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อยเนื่องจากท่านอะลี รอฎิฯยอมรับและเสนอบัยอะฮฺให้กับท่านอบูบักรฺ ท่านอุมัรและท่านอุษมาน รอฎิฯ จึงสรุปได้ว่าท่านไม่เคยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับทฤษฎีนี้เลย หรือไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงเสียด้วย ท่านอาจจะเคยสอนทฤษฎีนี้อย่างน้อยที่สุดให้แก่ผู้ใกล้ชิดที่สุดและเป็นที่รักมากที่สุดในยุคสมัยเดียวกับท่าน แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ทฤษฎีนี้ไม่เคยมีอยู่จนกระทั่งท่านอะลี รอฎิฯได้เป็นเคาะลีฟะฮฺ ส่วนตัวหลักความเชื่อเองถูกอุปโลกน์ขึ้นภายหลังจากนั้นเป็นเวลานานจิตใจที่ฉลาดแกมโกงของอิบนฺ ซะบาอฺกุลัทธิความเชื่อนี้ขึ้นเพื่อจะบ่อนทำลายคำสอนและหลักศรัทธาของอิสลามตรงรากฐาน ลูกศิษย์สาวกและคนสนิทของเขายังอุปโลกน์หะดีษจำนวนมากมายหลายร้อยหะดีษ บางหะดีษยังเป็นการยัดเยียดให้กับท่านศาสดาแห่งอิสลามอย่างผิดๆ รายงานปลอมเหล่านี้ถูกนำมาผสมปนเปกับหะดีษแท้ จนมีชาวสุนนีย์หลายคนหลงไปยอมรับรายงานเก๊พวกนั้น ในระหว่างสมัยของมะมูน อัรฺ-รอชีด อับบาซี มีชายคนหนึ่งอวดอ้างว่าตนเป็นนบี เคาะลีฟะฮฺมีคำสั่งให้ตัดหัวนบีปลอมผู้นั้น คนที่เป็นนบีปลอมกล่าวว่า "ท่านกำลังจะประหารข้าฯ แต่หะดีษจำนวนพันๆรายงานที่ข้าฯ กุมันขึ้นมาอย่างไม่ถูกต้อง และข้าฯได้แพร่กระจายมันออกไปจะยังคงอยู่ต่อไป" ออกจะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสามัญสำนึกและขัดแย้งกับสติปัญญาธรรมดาๆ ถ้าหากว่าหลักความเชื่อสำคัญซึ่งกล่าวกันว่าเป็นรากฐานของศาสนามิได้เป็นที่ รับทราบของบรรดาสาวกและเศาะหาบะฮฺจำนวนพันๆคน เพื่อที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้ดูกระจ่างขึ้น ผู้สนับสนุนหลักความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺจึงสร้างลักษณะอันลี้ลับให้กับเรื่องนี้ ชาวชีอะฮฺคิดว่าพวกเขาสามารถเอาชนะอุปสรรคที่คอยขัดขวางมิให้มุสลิมส่วน ใหญ่ยอมรับหลักความเชื่อดังกล่าว แต่พวกเขาคิดผิดถนัด เพราะคนมีสติที่สนใจในการแสวงหาความจริงย่อมจะปฏิเสธหลักความเชื่อนี้โดยสิ้นเชิง ความเท็จและการทุจริตต่อศาสนาเป็นอาชญากรรมที่มีลักษณะเลวร้ายที่สุด มันไม่สามารถจะซ่อนเร้นอยู่เป็นเวลานานๆอย่างเด็ดขาด ตรงกันข้ามพระเจ้าเองทรงทำให้ความจริงหรือสัจจธรรมเป็นที่รักและหยั่งราก ลึกลงในธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งชิงชังและปฏิเสธความเท็จทั้งมวล ถึงแม้ว่ามันจะถูกซ่อนเร้นกลบเกลื่อนอยู่ก็ตาม ความเท็จนั้นย่อมจะมลายไปในที่สุด หลักความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺมิได้มีที่มาจากอัล-กุรฺอานและหะดีษของท่านศาสดา ศ็อลฯ เป็นเรื่องที่ขาดความเชื่อถือได้ นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นจากจิตใจที่ฉลาดแกมโกงของอิบนฺ ซะบาอฺอย่างแท้จริง
อับดุลลอฮฺ บิน ซะบาอฺ : ที่มาของการใส่ร้ายเศาะหาบะฮฺ
อัน-นุบัคตี ได้เขียนในหนังสือของเขาชื่อ "ฟิรอกุช-ชีอะฮฺ" ว่า บุคคลแรกที่ใส่ร้ายท่านอบูบักร, อุมัรและอุษมานนั้นคืออับดุลลอฮฺ บินสะบาอฺการกล่าวถึงเศาะหาบะฮฺเหล่านั้นในด้านลบ การกล่าวหา การโจมตี การประณามและการใส่ร้ายเศาะหาบะฮฺทั้งสาม(รวมถึงท่านหญิงอาอิชะฮฺ, ฮัฟเซาะฮฺ, ฏ็อลฮะฮฺ, ซุบัยรฺ ฯลฯ) นั้นยังคงมีเหลืออยู่ในคนบางกลุ่มในปัจจุบัน มิหนำซ้ำพวกนี้เชื่อว่า การใส่ร้ายดังกล่าวนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงถึงการศรัทธาที่แท้จริง ผู้ใดไม่ใส่ร้ายและไม่กล่าวหาเคาะลีฟะฮฺทั้งสามถือว่าไม่ใช่สาวกที่ศรัทธามั่นคง ทั้งๆ ที่เคาะลีฟะฮฺทั้งสามเป็นผู้ช่วยเหลือท่านนบีฯ อย่างซื่อสัตย์ และเป็นที่รักใคร่ของท่านนบีฯอับดุลลอฮฺ บินสะบาอฺ เป็นใครอับดุลลอฮฺ บินสะบาอฺ เป็นยิวชาตินิยม-ศาสนานิยมจัด เป็นมุนาฟิกที่อันตรายยิ่ง และเป็นศัตรูของอิสลามที่ทำงานได้ผลพอสมควรอัล-กาซี ได้เขียนไว้ในหนังสือ "ริญาลุล-กาซี" หน้า 100 ว่า : รายงานจากซัยนุล-อาบิดีน อะลี บุตรของหุเซน ได้กล่าวว่า : "หวังว่าอัลลอฮฺทรงละอฺนัต(สาปแช่ง)ผู้ที่กล้ากล่าวเท็จต่อตัวฉัน อับดุลลอฮฺ บินสะบาอฺเป็นบุคคลหนึ่ง ซึ่งเมื่อมีการกล่าวถึง-บุคคลผู้นี้แล้ว-ทำให้ฉันขนลุกทั่วตัว เพราะความน่าเกลียด น่าขยะแขยง เขาได้พูดเรื่องที่ไม่เป็นความจริง หวังว่าอัลลอฮฺทรงละอฺนัตแก่เขา แท้จริง ท่านอะลี รอฎิฯเป็นบ่าวของอัลลอฮฺที่ศอลิหฺ(กัลญาณชน) และเป็นญาติสนิทของท่านนบีฯ ท่านอะลีได้รับเกียรติจากอัลลอฮฺเนื่องจากความเชื่อฟังของท่านต่ออัลลอฮฺ และต่อท่านรสูล และครอบครัวของท่านก็ได้รับเกียรติจากอัลลอฮฺ เนื่องจากความเชื่อฟังต่ออัลลอฮฺและต่อท่านรสูล"
อิบนฺ สะบาอฺเป็นนิทานหรือเป็นเรื่องจริง
ความจริงการดำรงอยู่จริงของอิบนฺ สะบาอฺนี้ได้รับการพิสูจน์โดยนักปราชญ์ของสายชีอะฮฺ และบรรดาอิมามของพวกเขา ถ้าจะแก้ตัวว่าอัล-อัสการีย์ไม่มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของอัล-อะซากิรฺ หรือคนอื่นๆ ก็อาจจะกล้อมแกล้มฟังได้ แต่ถ้าบอกว่าอัล-อัสการีย์ไม่รู้ถึงมรดกของตนเองนั้น ก็เห็นจะต้องยืนยันคำว่า “ชอบที่จะละเลย” ให้หนักแน่นยิ่งขึ้น โดยทั่วไปแล้ว ผู้ค้นคว้าวิจัยระดับคงแก่เรียนนั้น เมื่อจะเขียนผลการวิจัย เขาย่อมต้องทุ่มเวลาให้กับการค้นคว้าตำรับตำราต่างๆ มากเป็นพิเศษ และตำราที่เขาจะละเลยไม่ได้เลย นั่นก็คือตำราที่เป็นมรดกทางวิชาการของตนเองแต่ในบทสำรวจประวัติศาสตร์ของเขา ซึ่งอัล-อัสการีย์อ้างว่ากระทำอย่างละเอียดลออจริงๆ เขากลับไม่พูดถึงตำรับตำราของพวกตนแม้แต่น้อย ข้อเท็จจริงนั้นก็คือ การมีอยู่จริงของอิบนฺ สะบาอฺได้รับการพิสูจน์รับรองโดยหนังสือบันทึกชีวประวัติบุคคลต่างๆ ของชีอะฮฺเกือบทุกเล่ม ดร.สะอฺดีย์ อัล-ฮาชิมีย์ ในหนังสือของเขาชื่อ อิบนฺ สะบาอฺ : หะกีเกาะฮฺ ลา เคาะยาล(หน้า 25-28, มักตะบะฮฺ อัด-ดารฺ, มะดีนะฮฺ ฮ.ศ. 1406) ได้จัดทำบัญชีตำราของชีอะฮฺที่รับรองการมีอยู่จริงของอิบนฺ สะบาอฺได้ถึง 20 รายการด้วยกัน ขอยกตัวอย่างหนึ่งเช่น หนังสืออิคติยารฺ มะอฺริฟัต อัรฺ-ริญาล ซึ่งอบู ญะอฺฟัรฺ อัต-ตูซีย์ได้ปรับปรุงจากผลงานของอบู อัมรฺ อัล-กัชชีย์ ซึ่งเป็นพจนานุกรมประวัติผู้รายงานหะดีษของชีอะฮฺในฮิจเราะฮฺศตวรรษที่ 4ในหนังสือดังกล่าว หัวข้ออิบนฺ สะบาอฺมีข้อมูลยาว 2 หน้า(323-324) ประกอบไปด้วยรายงานต่างๆ กันถึง 5 รายงาน ตรงกับหมายเลข 170-174 ต่อไปนี้เป็นรายนามของอิมามทั้ง 5 ที่เป็นต้นต่อของรายงานเรื่องนี้ : 170 : รายงานโดยอิมามมุฮัมมัด อัล-บากิรฺ 171 : รายงานโดยอิมามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก 172 : รายงานโดยอิมามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก 173 : รายงานโดยอิมามซัยนุล อาบิดีน 174 : รายงานโดยอิมามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก(กรุณาดู อิคติยารฺ มะอฺริฟัต อัรฺ-ริญาล, หน้า 323-324, อัส-ซัยยิด มะฮฺดี อัร-ริญาลีย์, พิมพ์โดยมุอัซสะสะฮฺ อะหฺลุลบัยตฺ, เมืองกุม, ฮ.ศ. 1404) ผู้รายงานในหลักฐานข้างต้นทั้งหมดคือชีอะฮฺ เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะนำสมมุติฐานของอัล-อัสการีย์มาใช้กับรายงานต่างๆ ที่อัล-กัชชีย์เป็นผู้บันทึกไว้ เราคงต้องสรุปว่า ซัยฟฺ อิบนฺ อุมัรมีความเก่งกาจสามารถเป็นอย่างยิ่ง จนถึงกับประสบความสำเร็จในการล่อลวงอิมาม(ผู้ที่เชื่อกันว่าดำรงอยู่ในภาวะมะอฺศูม - ไร้บาปไร้มลทิน)ให้หลงเชื่อว่าอับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺนั้นมีตัวมีตนจริงๆ ทั้งที่นายซัยฟฺ อิบนฺ อุมัรกุมันขึ้นมาจากจินตนาการอันบิดเบี้ยวของเขาแท้ที่จริงแล้ว อิบนฺ สะบาอฺมีบทบาทอันน่าทึ่งอยู่ในประวัติศาสตร์ความแตกแยกของอิสลามเลยทีเดียว เขาเป็นคนแรกที่หว่านเมล็ดพันธ์ของลัทธิแห่งความแปลกแยกนี้ลงในสมัยของท่านอุษมาน รอฎิฯ อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺเองนั่นแหละที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในเรื่องนี้ เพราะเหตุนี้ บรรดาหนังสือตำราที่เขียนโดยชาวสุนนีย์ ชาวชีอะฮฺ และแม้กระทั่งบรรดานักบูรพาคดี(Orientalists)ต่างก็มิได้ละเลยบุคคลผู้นี้แม้แต่น้อย ที่จริงบุคคลเหล่านี้ล้วนอุทิศพื้นที่ดีๆ ในหนังสือของพวกเขาให้กับประวัติของผู้มีนามว่าอิบนฺ สะบาอฺ เนื่องจากประวัติตอนนี้มีความสำคัญในประวัติศาสตร์มิใช่น้อยเลย
อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺในหนังสือของสุนนีย์
อิบนฺ อะษากิรฺได้กล่าวไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของท่านว่า "เมื่อท่านอะลี รอฎิฯ ได้รับเลือกเป็นเคาะลีฟะฮฺ ท่านจึงกล่าวคำปราศรัย อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺได้ยืนขึ้นกล่าวว่า "ท่านเป็นผู้เป็นใหญ่แห่งโลก" ท่านอะลีจึงเตือนว่า "จงยำเกรงอัลลอฮฺ" เขากล่าวอีกว่า "ท่านเป็นกษัตริย์" ท่านอะลีได้เตือนอีกครั้งหนึ่งว่า "จงยำเกรงอัลลอฮฺ" เขายืนยันว่า "ท่านสร้างบรรดาสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย และได้กำหนดส่วนแบ่งของพวกเขา" ด้วยเหตุนี้แหละท่านอะลีจึงได้สั่งให้ประหารเขาเสีย" (จากหนังสือประวัติศาสตร์ของอิบนฺ อะษากิรฺ เล่ม 7 หน้า 430)
อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺในหนังสือของนักบูรพาคดี
หนังสือ "History of The Arabs" หรือ "ประวัติศาสตร์อาหรับ" โดยศาสตราจารย์ นิโคลสัน มีบทหนึ่งเขียนถึงเรื่องชีอะฮฺเป็นการเฉพาะ ความตอนหนึ่งมีอยู่ว่า "อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺเป็นชาวเมืองสะนาอฺ อัล-ยะมัน เขาเข้ารับอิสลามในสมัยการปกครองของอุษมาน ก่อนหน้านี้เขาเป็นยิว บรรดานักประวัติศาสตร์กล่าวว่า เขาเคยไปเยือนดินแดนฮิญาซฺ อัล-บัสเราะฮฺและอัล-กูฟะฮฺ สุดท้ายเขาได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอียิปต์ ที่นี้แหละ เขาได้เริ่มทำการการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับการกลับมายังโลกอีกครั้งหนึ่งของมุฮัมมัดในแบบเดียวกับการกลับมาของพระเยซูคริสต์ เขาอ้างว่าศาสดานั้นมีจำนวนเป็นพัน แต่ละท่านล้วนมีผู้รับมรดกการปกครองคนหนึ่ง และผู้รับมรดกการปกครองของมุฮัมมัดคืออะลี แต่อบูบักร อุมัรและอุษมานได้แย่งชิงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺไปจากอะลี" (หน้า 215)
อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺในหนังสือของชีอะฮฺ
ในบรรดาหนังสือสำคัญๆ ของชีอะฮฺ มีหลายเล่มที่เขียนเกี่ยวกับอับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺเอาไว้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ดังตัวอย่างต่อไปนี้ : อัล-กุลัยนีย์ ปราชญ์ชีอะฮฺผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง ได้กล่าวไว้ในหนังสือ "อัล-กาฟีย์" เล่ม 7 หน้า 257 ว่า "มีคนบางคนมาหาท่านอะมีรุ้ล มุอฺมินีน แล้วกล่าวว่า "ขอความสันติจงมีแด่ท่าน พระผู้เป็นเจ้าของเรา" ท่านจึงสั่งให้พวกเขาเตาบะฮฺ(สำนึกผิดและขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ ศุบหฯ) แต่พวกเขาปฏิเสธ ดังนั้นท่านจึงขุดหลุมขึ้นมาแล้วสุมไฟขึ้น จากนั้นจึงโยนพวกเขาลงไปในหลุมไฟ" อนึ่งอัล-กาฟีย์นี้เป็นหนังสือที่แต่งโดยอัล-กุลัยนีย์ นับเป็นหนังสืออ้างอิงที่สำคัญที่สุดของชาวชีอะฮฺ อิมาม อัล-มุนตะซอรฺหรืออิมามมะฮฺดีของชาวชีอะฮฺได้กล่าวยกย่องหนังสือเล่มนี้ว่า “อัล-กาฟีย์นี้เพียงพอแล้วสำหรับพลพรรค(ชีอะฮฺ)ของเรา"อบูมุฮัมมัด อัล-หะซัน อิบนฺ มูซา อัล-เนาบัคตีย์ ซึ่งถือกันว่าเป็นปราชญ์ชีอะฮฺที่สำคัญคนหนึ่งในศตวรรษที่สาม ได้กล่าวถึงอับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺไว้ในหนังสือของท่านชื่อ “ฟิรอก อัล-ชีอะฮฺ" ความตอนหนึ่งท่านกล่าวว่า : "อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ให้ร้ายอบูบักร, อุมัร, อุษมาน และเศาะหาบะฮฺคนอื่นๆ และยังปฏิเสธความสัมพันธ์กับบุคคลเหล่านั้น เขาอ้างว่าท่านอะลี อะลัยฮิสสะลาม นั่นแหละที่ใช้ให้เขาทำเช่นนั้น ท่านอะลี อะลัยฮิสสะลาม จับกุมเขา และขอให้เขาอธิบายพฤติกรรมของเขา เขายอมรับความผิด ท่านอะลีมีคำสั่งให้ประหารเขาเสีย ประชาชนพากันร่ำร้องว่า “โอ้ท่านอมีรุ้ลมุอฺมินีน! ท่านจะเด็ดชีพของบุรุษที่เชิญชวน(ผู้คนทั้งหลาย)ให้รักท่านและอะหฺลุลบัยตฺ และเรียกร้อง(ประชาชน)ไปสู่วิลายะฮฺของท่าน แถมยังตัดความสัมพันธ์กับเหล่าศัตรูของท่านได้อย่างไร" ดังนั้นเขา(ท่านอะลี)จึงเนรเทศเขา(อิบนฺ สะบาอฺ)ไปยังเมืองมะดาอิน(หรือเมืองเซสิโฟน - เมืองหลงของจักรวรรดิ์เปอร์เซียในครั้งกระนั้น) ผู้ทรงความรู้บางคนจากกลุ่มผู้ติดตามท่านอะลี อะลัยฮิสสะลาม กล่าวว่า อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺเป็นชาวยะฮูดีที่มาเข้ารับอิสลามและเกาะติดท่านอะลี อะลัยฮิสสะลาม เมื่อครั้งที่ยังนับถือศาสนายูดาย เขาเคยอ้างว่า ยูชะอฺ(โยชัว) บิน นูน เป็นวะซีย์(ผู้สืบทอดอำนาจ)ของท่านนบีมูซา ภายหลังเมื่อเขาได้เข้ารับอิสลามแล้ว หลังจากท่านนบี ศ็อลฯ วายชนม์ไปแล้ว เขาถือว่าท่านอะลี อะลัยฮิสสะลาม มีฐานะเช่นเดียวกับยูชะอฺ อิบนฺ สะบาอฺเป็นคนแรกที่ประกาศอิมามะฮฺของท่านอะลี อะลัยฮิสสะลาม เขาตัดความสัมพันธ์กับศัตรูของท่าน และประกาศว่าคนเหล่านั้นเป็นฝ่ายปรปักษ์ของเขา เพราะเหตุนี้ บรรดาผู้ที่ต่อต้านชีอะฮฺจึงกล่าวว่า ชีอะฮฺและและรอฟิเฎาะฮฺมีกำเนิดมาจากศาสนายูดาย""ขณะที่อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺอยู่ที่เมืองมะดาอิน ข่าวมรณกรรมของท่านอะลีมาถึงหูของเขา เขาพูดกับผู้ป่าวประกาศข่าวดังกล่าวว่า "ท่านโกหก ถ้าท่านนำศีรษะของเขาใส่ถุงมาถึง 70 ใบ และนำคน 70 คนมาเป็นพยานยืนยันมรณกรรมของเขา เรายังคงจะยืนยันว่า เขายังไม่ตาย เขาไม่ได้ถูกสังหาร และเขาจะยังไม่ตายจนกว่าจะได้ปกครองทั่วหน้าพิภพนี้" (กรุณาดูอัล-เนาบัคตีย์, ฟิรอก อัล-ชีอะฮฺ, พิมพ์โดยฮัยดารียะฮฺ เพรส, นะญัฟ ฮ.ศ. 1379/1959, หน้า 43, 44)
เราได้อ่านพอสมควรแล้วว่า ชายชาวยิวผู้นี้เป็นต้นกำเนิดของลัทธิชีอะฮฺ เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างชีอะฮฺกับยิวจึงมีมาตลอดจนถึงทุกวันนี้

ต่อไปนี้ คือ สิ่งที่คุณ อัล-อัซฮะรีย์ ได้เคยนำเสนอ การที่เราจะมาเปรียบเทียบคำสอนต่าง ๆระหว่างยิวและชีอะฮฺนั้น เราสมควรที่จะทำความรู้จักคำภีร์ ตัลมูต ซึ่งเป็นคำภีร์ที่พวกยิวทั่ว โลกยึดคำสอนต่าง ๆจากคำภีร์นี้และพวกเขาเชื่อว่า คำภีร์ตัลมูตนี้ เป็นคำภร์ที่ถูกประทานลงมาจากฟากฟ้า พวกเขามีความเห็นว่า อัลเลาะฮฺทรงประทานคำภีร์เตารอตให้แด่นบีมูซา(อ.) ณ (ภูเขา)ตูรซีนีนโดยการบันทึก แต่อัลเลาะฮฺทรงประทานคำภีร์ตัลมูตแก่นบีมูซาด้วยคำตรัสของพระอ งค์เอง ไม่เพียงเท่านั้น พวกยิวยังถือว่าคำภีร์ตัลมูตนี้มีฐานันดรที่สูงส่งกว่าคำภีร์เต ารอตเสียอีก คำภีร์ตัลมูตมีอยู่ 6000 หน้าด้วยกัน ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " ผู้ที่ใดที่ดูหมิ่นคำกล่าวต่าง ๆของบรรดาบาตรหลวงแล้ว เขาสมควรตาย โดยผู้ที่ดูหมิ่นคำภีร์เตารอตนั้นไม่สมควรตาย และย่อมไม่รอดพ้นปลอดภัยสำหรับผู้ที่ละทิ้งคำสอนของคำภีร์ตัลมู ตโดยที่ให้ความสนใจในคำภีร์เตาร๊อตเพียงอย่างเดียว เพราะคำกล่าวต่าง ๆของนักปราชน์คำภีร์ตัลมูตนั้น ย่อมประเสริฐกว่าสิ่งที่มีอยู่ในชาริอัตของมูซา (ดู อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด ฟีตะอาลีม อัตตัลมูต หน้า44 ของท่านมูซา นัสรุลลอฮฺ ) บาตรหลวงยิวท่านหนึ่งกล่าวว่า " ชาวยิวจะคงอยู่ด้วยสาเหตุการมีคำภีร์ตัลมูต ตราบใดที่คำภีร์ตัลมูตยังคงอยู่ในชาวยิว" ( อัตตัลมูต ชะรีอะฮฺ บนีอิสรออีล หน้า 12 )ดังกล่าวนี้คือแนวคิดของพวกยิวที่มีต่อคำภีร์ตัลมูต แต่เราลองมาดูแนวคิดของพวกชีอะฮฺอิมาม 12 ที่มีต่อคำสอนต่าง ๆของบรรดาอิมามของพวกเขาว่าเป็นอย่างไร ท่านโคมัยนีย์ กล่าวเอาไว้ว่า " แท้จริง คำสอนต่าง ๆของบรรดาอิมามนั้น เสมือนกับคำสอนต่าง ๆของคำภีร์อัลกุรอาน ที่ไม่ได้เฉพาะแก่ชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ทว่ามันเป็นคำสอนให้กับประชาชาติทั้งหมดในทุกยุคทุกสมัยและท ุกเมือง จนถึงวันกิยามะฮฺ " อัลฮุกูมะฮฺ อัลอิสลามียะฮฺ หน้า 112 เชคฺมุฮัมมัด ริฏอ อัลมุซฺ๊อฟฟัร กล่าวว่า " คำสั่งใช้ของบรรดาอิมามคือคำสั่งใช้ของอัลเลาะฮฺ การห้ามของพวกเขาคือการห้ามของอัลเลาะฮฺ การภักดีของพวกเขาคือการภักดีของอัลเลาะฮฺ และการฝ่าฝืนพวกเขาคือการฝ่าฝืนของอัลเลาะฮฺ......และไม่อนุญาติให้คัดค้านพวกเขา เพราะผู้ที่คัดค้านพวกเขาเสมือนการคัดค้านร่อซูลุลลอฮฺและการคั ดค้านร่อซูลุลลอฮฺเสมือนกับการคัดค้านอัลเลาะฮฺ " อะกออิด อัลอิมามียะฮฺ หน้า106

เมื่อเรารู้ถึงแนวคิดต่าง ๆของพวกเขาแล้ว เราก็ลองมาเปรียบเทียบระหว่างแนวทางของยิวและชีอะฮฺกันครับ

พวกยิว เชื่อว่า ศาสนาของพวกเขายังไม่สมบูรณ์ นอกจาก ต้องอ่านคำสอนต่าง ๆของเตาร๊อต มินชาและ ฆอมาร่า ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " โอ้ลูกเอ๋ย เจ้าจงให้ความสนใจคำสอนต่าง ๆของบรรดาปราชน์บาทหลวงให้มากกว่าคำสอนต่าง ๆของกฏหมายของมูซา " (อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า 45) กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตเช่นกันว่า " แท้จริง ผู้ใดที่ศึกษาเตาร๊อต เขาย่อมปฏิบัติความดีงามหนึ่งที่ไม่สมควรที่จะได้รับการตอบแทนใ ด ๆ และผู้ใดที่ศึกษา มันชา เขาย่อมปฏิบัติความดีงามหนึ่งที่สมควรได้รับการตอบแทนรางวัล และผู้ใดที่ศึกษา ฆอมาร่า เขาย่อมปฏิบัติความดีงามหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ " (อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า44) กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตเช่นเดียวกันว่า " เตาร๊อต เปรียบเสมือนน้ำ มันชาเปรียบเสมือนไวน์ และฆอมาร่าเปรียบเสมือนไวน์ที่หอมหวน โดยที่มนุษย์ยังต้องการคำภีร์ทั้งสามนี้" (อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า45)

พวกชีอะฮฺอิมามียะฮฺ เชื่อว่า "อิสลามจะยังไม่สมบูรณ์ด้วยกับสารของท่านนบี(ซ.ล.) แต่จำเป็นต้องเสริมคำสอนต่าง ๆของท่านอลีและท่านฮุเซน ท่านฮะซัน อัชชีรอซีย์ กล่าวว่า " เสมือนกับว่า ศักยาภาพอิสลามนั้น ยังต้องการความทุ่มเทของมุฮัมมัด อลีและอัลฮุเซน จนกระทั้งมันได้ดำรงอยู่ได้ เช่นเดียวกัน อิสลามยังคงไม่สมบูรณ์ในหัวใจดวงหนึ่ง ที่ไม่มีมุฮัมมัด อลีและอัลฮุเซนพร้อมๆกัน เพราะคำสอนต่าง ๆของมุฮัมมัดนั้น เป็นคำสอนในเชิงกำหนดคำสั่งขึ้นมา คำสอนของอลีนั้นในเชิงปฏิบัติอบรมสั่งสอน และคำสอนของอัลฮุเซนนั้นในเชิงของมาตราวัด เมื่อทั้งสามองค์ประกอบนี้ไม่เกิดขึ้น อิสลามก็ปรากฏให้มีขึ้นมาไม่ได้ " ( ดู อัชชะอาอิร อัลฮุซัยนียะฮฺ หน้า 12 )

พวกยิวอ้างว่า " บรรดาบาทหลวงของพวกเขานั้น ประเสริฐกว่า บรรดานบี ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " ท่านพึงทราบเถิด แท้จริงคำกล่าวต่าง ๆของบรรดาบาทหลวงนั้นย่อมประเสริฐกว่าคำกล่าวของบรรดานบี" อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า 46

พวกชีอะฮฺอิมามียะฮฺ เชื่อว่า "บรรดาอิมามของพวกเขานั้นย่อมประเสริฐกว่าบรรดานบี ความเลยเถิดของพวกเขานั้น ได้วางบรรดาอิมามของพวกเขา ให้มีฐานันดรที่ประเสริฐกว่าบรรดานบี ร่อซูลและมวลมะลาอิกะฮฺผู้ใกล้ชิดอัลเลาะฮฺ อัล-ฮุร อัล-อามิลีย์ กล่าวว่า " บรรดาอิมาม 12 นั้น มีความประเสริฐกว่าบรรดามัคโลคทั้งหลาย จากบรรดานบี บรรดาผู้ได้รับการสั่งเสียสืบทอด บรรดามะลาอิกะฮฺและอื่น ๆ " อัล-ฟุซูล อัล-มุฮิมมะฮฺ หน้า152 โคมัยนีย์กล่าวว่า " แท้จริง ให้กับอิมามนั้น มีตำแหน่งที่ได้รับการสรรญเสริญ และฐานันดรที่สูงส่ง และการสืบทอดที่ได้เกิดขึ้นมานี้ ทั้งหมดของธุลีแห่งจักรวาล ได้น้อมแด่อำนาจและการปกครองของมัน และแท้จริง ส่วนหนึ่งจากบรรดาสิ่งจำเป็นต่าง ๆจากแนวทางของเรา คือให้กับบรรดาอิมามของเรานั้น มีตำแหน่ง ที่มะลาอิกะฮฺผู้ใกล้ชิดและนบีที่ถูกส่งมานั้น ไม่สามารถไปถึงได้ " อัล-ฮุกูมะฮฺ อัล-อิสลามียะฮฺ หน้า 52 ท่านอัซซุดูก ได้กล่าวรายงานจากท่านร่อซูลุลอฮฺ(ซ.ล.) ท่านกล่าวว่า "แท้จริงอลีคือมนุษย์ที่ประเสริฐสุด และผู้ใดปฏิเสธ เขาย่อมกุฟุร " อะมาลี อัส-ซุดูก หน้า71

พวกยิว เชื่อว่า บรรดาบาทหลวงของพวกเขานั้นได้รับการคุ้มครองจากความผิด บาทหลวงรุสกี้ หนึ่งจากผู้บันทึกคำภีร์ตัลมูต ได้กล่าววิจารณ์ถึงการขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสองบาทหลวงว่า "แท้จริง บาทหลวงทั้งสองนี้ ได้กล่าวสิ่งสัจจะธรรมเพราะพระเจ้าได้ทำให้บาทหลวงทั้งสองนี้ ได้รับการคุ้มครองจากความผิด " อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า47

พวกชีอะฮ์อิมามียะฮฺ เชื่อว่า บรรดาอิมามของพวกเขานั้น มะซูม ได้รับการคุ้มครองจากความผิด อัซ-ซันญะนีย์ ได้กล่าวจาก อัศศ่อดูกว่า " การศรัทธาเชื่อของเรา ในบรรดานบี ร่อซูล และบรรดาอิมามนั้น พวกเขาได้รับการคุ้มครองจากความผิด พวกเขาสะอาดจากทุกสิ่งโสมม " อะกออิด อัล-อิษนาอะชัร เล่ม 2 หน้า157 เชคฺมะฮัมมัด ริฏอ อัล-มุซ๊อฟฟัร กล่าวว่า " เราเชื่อมั่นว่า อิมามเสมือนกับนบี จำเป็นต้องมะซูม ได้รับความคุ้มครองจากความผิด" อะกออิด อัล-อิมามียะฮฺ หน้า104

พวกยิวเชื่อว่า คำสอนต่าง ๆของบรรดาบาตรหลวงนั้นเหมือนกับชาริอัตของนบีมูซา ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " จำเป็นกับท่าน โดยการพิจารณาคำกล่าวต่าง ๆของบรรดาบาทหลวงนั้น เสมือนกับเตาร๊อต " อัล-กันซฺ อัล-อัรซูด หน้า45

พวกชีอะฮฺ เชื่อว่า คำสอนต่าง ๆของบรรดาอิมามนั้น เหมือนกับอัลกุรอาน โคมัยนย์กล่าวว่า "แท้จริง คำสอนต่าง ๆของบรรดาอิมามนั้น เสมือนกับคำสอนต่าง ๆของคำภีร์อัลกุรอาน ที่ไม่ได้เฉพาะแก่ชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง " อัลฮุกูมะฮฺ อัลอิสลามียะฮฺ หน้า 112

พวกยิว เชื่อว่า ผู้ที่โต้เถียงกับบาตรหลวงนั้น เหมือนกับการโต้เถียงกับอัลเลาะฮฺ ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " ผู้ที่ใดที่โต้เถียงกับบาตรหลวง หรือบาทหลวงผู้สั่งสอน เขาย่อมทำผิด และเสมือนกับว่าเขาได้โต้เถียงกับความเกรียงไกรแห่งพระผู้เป็นเ จ้า " อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า46

พวกชีอะฮฺ เชื่อมั่นว่า ผู้ที่คัดค้านต่อบรรดาอิมามนั้น เสมือนกับการคัดค้านต่ออัลเลาะฮฺ เชคฺมุฮัมมัด ริฏอ อัลมุซฺ๊อฟฟัร กล่าวว่า " คำสั่งใช้ของบรรดาอิมามคือคำสั่งใช้ของอัลเลาะฮฺ การห้ามของพวกเขาคือการห้ามของอัลเลาะฮฺ การภักดีของพวกเขาคือการภักดีของอัลเลาะฮฺ และการฝ่าฝืนพวกเขาคือการฝ่าฝืนของอัลเลาะฮฺ......และไม่อนุญาติให้คัดค้านพวกเขา เพราะผู้ที่คัดค้านพวกเขาเสมือนการคัดค้านร่อซูลุลลอฮฺและการคั ดค้านร่อซูลุลลอฮฺเสมือนกับการคัดค้านอัลเลาะฮฺ " อะกออิด อัลอิมามียะฮฺ หน้า106

พวกยิวอ้างว่า บรรดาบาตรหลวงผู้ใกล้ชิดพระเจ้านั้น คือผู้ที่สั่งสอนบรรดาผู้ประพฤติดีที่อยู่บนฟากฟ้า ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์ตัลมูตว่า " แท้จริงบาทหลวงผู้ใกล้ชิดพระเจ้าน้นคือผู้ที่มาสั่งสอนบรรดาผู้ ประพฤติดีที่อยู่บนฟากฟ้า " ฮะมะญียะอฺ อัตตะอะลี อัซซียานียะฮฺ หน้า25

พวกชีอะฮฺ อ้างว่า" บรรดาอิมามของพวกเขานั้นคือผู้ที่สอนเตาฮีดแก่บรรดามะลาอิกะฮฺ พวกเขาได้รายงานถึงท่านร่อซูล(ซ.ล.) ท่านกล่าวแก่อลีว่า "....หลังจากที่พระองค์ทรงสร้างมะลาอิกะฮฺ ดังนั้นในขณะที่พวกเขาได้เห็นบรรดาวิญญานของเราที่เป็นรัศมีและ พวกเขาก็ให้ความสำคัญแก่เรื่องราวเกี่ยวกับเรา ดังนั้นอัลเลาะฮฺก็ให้เราทำการกล่าวตัสบีฮฺ เพื่อเราได้สอนแก่มวงมะลาอิกะฮฺว่า เรานั้นคือมัคโลค และพระองค์นั้นทรงบริสุทธิ์จากคุณลักษณะต่าง ๆของเรา ดังนั้นบรรดามะลาอิกะฮฺก็ได้ทำการกล่าวตัสบีฮฺอันเนื่องจากเราไ ด้กล่าวตัสบีฮฺและพระองค์ก็บริสุทธิ์จากคุณลักษณะต่างๆของเรา ... ดังนั้น ด้วยกับเรา พวกมะลาอิกะฮฺจึงได้รับทางนำไปยังการรู้จักการเตาฮีดของอัลเลาะ ฮฺ การตัสบีฮฺ การตะฮฺลีล และการตะหฺมีดต่อพระองค์" ดู อิลัล อัล-ชะรอเอี๊ยะ หน้า5
ภาพการประชุมสัมนาระหว่างอุลามะอฺลัทธิชีอะฮฺกับบาทหลวงยิว ในกรุงเบรุตประเทศเลบานอนในช่วงปลายทศวรรษที่ 19



รู้ไหมว่าลัทธิชีอะฮฺเผยแพร่ได้ด้วยเงิน แล้วถามว่าชีอะฮฺเอาเงินจากไหน ลำพังอิหร่านประเทศเดียวงบไม่พอแจกจ่ายหรอก ภาพเหล่านี้ยืนยันได้ชัดเจนว่าชีอะฮฺและอิหร่านรับเงินจากยิวที่คุมเศรษฐกิจโลกเพื่อการเผยแพร่ศาสนาของตน


เราจะร่วมมือกันน้า ยิวจ๋า!!!!



มิตรภาพระหว่างเราจะมีตราบจนวันตาย



อุลามะอฺชีอะฮิกับรับไบชาวยิว



กับยิวกับคริสต์เราคือพี่น้องกันนะ



การประชุมที่อิหร่านเมื่อปี 1997 โดยยิวมอบเงินให้อิหร่านในการเผยแพร่ลัทธิของตน



มีการนำสาวๆชาวยิว(สวยซะด้วย)มาร้องเพลงขับขานเอาใจอุลามะอฺชีอะฮฺด้วย ในภาพคนที่นั่งหันหลังคือ อิมามคอตามีของชีอะฮฺ (หมอนี้อีกแล้วทุกงานเลย กรุณากลับไปดูหัวข้อการมุตอะฮฺ)


รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนยิว จะเกิดชาติไหนๆ ก็อากีดะฮฺเดียวกัน


ร่วมมือกันไว้




แหมๆๆ ไหนล่ะพ่อโคใช่มั๊ยนี่ ที่เคยประกาศกู่ก้องโลกว่าจะต่อสู้กับยิว จะขับไล่ยิวออกจากอิสราเอล ประชุมที่ภาพคุณพี่หราออกขนาดนั้น ยิวคงนับถือท่านมากสินะ





พ่อขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะพ่อชีอะฮฺ


ด้านหลังคือมัสยิดในอิหร่านกับชาวยิว




เฮ้ยพวกมึง รู้ไหมใครลูกพี่กู ภาพข้างหลังกูนี่ ลูกพี่ตัวจริงกู





เรารักนายนะยิว


เราก็รักนายนะชีอะฮฺ





จูบกันนะ รักที่สุดแล้ว

เมื่อสองผู้ยิ่งใหญ่จากสองลัทธิมาเจอกัน นี่เหรอโคไมนี่ของชีอะฮฺที่เคยประกาศตัวจะไล่ยิวออกจากแผ่นดินอาหรับ

ภาพนี้ชัดเจนเลย คนซ้ายคือผู้นำยิวสาขามุสกีโตนามว่า รับไบแคลมิน กับโคไมนี่ที่ชีอะฮฺภาคภูมิใจสะท้อนความเป็นมิตรภาพระหว่างชีอะฮฺกับยิวตราบจนวันตาย






แน่นอนเจ้าจะพบว่า หมู่ชนที่เป็นศัตรูอันรุนแรงแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธานั้นคือชาวยิว และบรรดาผู้ที่ให้มีภาคีแก่อัลลอฮ์(*1*) และแน่นอนเจ้าจะพบว่า บรรดาผู้ที่มีความรักใคร่แก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาใกล้กว่า(*2*) พวกเขา(*3*)นั้นคือ บรรดาผู้ที่กล่าวว่าแท้จริงพวกเราเป็นคริสต์ นั่นก็เพราะว่า ในหมู่พวกเขานั้นมีบรรดานักปราชญ์ และบาดหลวงและก็เพราะว่าพวกเขาไม่เย่อหยิ่ง
(1) หมายถึงพวกมุชริก และพวกกาเฟรทั่ว ๆ ไปนอกเหนือจากพวกอะฮ์ลุลกิตาบ (2) คือใกล้กว่าพวกยิว และพวกมุชริก (3) คือใกล้กว่าพวกยิวและพวกมุชริก




ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงอย่าได้ยึดเอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็นมิตร บางส่วนของพวกเขาคือมิตรของอีกบางส่วน(*1*) และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเอาพวกเขามาเป็นมิตรแล้วไซร้ แน่นอนผู้นั้นก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม
(1) คือยิวนั้นต่างรักใคร่ซึ่งกันและกัน และคริสต์เช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกันทั้งหมดนั้นเป็นศัตรูของมุสลิมีน ด้วยเหตุนี้ถ้าคบพวกเขาเป็นมิตรแล้วพวกเขาก็ย่อมจะล่วงรู้ในความเร้นลับอขงฝ่ายมุสลิม แล้วรายงานให้พวกเขาทราบ และอีกประการหนึ่ง ยิวกับคริสต์นั้นแม้ว่าพวกเขาจะไม่ศรัทธาต่อนะบีของกันและกัน แต่พวกเขาก็ให้ความช่วยเหลือกันในการเป็นศัตรูกับมุสลิม ดังนั้นในสองพวกนี้จึงไม่เป็นที่ไว้วางใจแก่มุสลิมีนได้