วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

คำถามที่สุลัยมานไม่กล้าตอบ!!!

ผมได้ดูวีดีโอการเสวนาระหว่างฝ่ายซุนนีและฝ่ายชีอะฮฺ ซึ่งเป็นวีดีโอที่นานพอสมควรแล้ว สัก 10 ปีแล้วเห็นจะได้ แต่ถึงแม้จะนานแค่ไหนก็ตามดูเหมือนวีดีโอดังกล่าวนนี้ยังคงเป็นที่พูดถึงกันอยู่จนถึงทุกวันนี้จากฝ่ายชีอะฮฺ ว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของชีอะฮฺและความอัปยศอย่างน่าอดสูของพวกวะฮาบีย์!!!! ผมเองจากการได้ดูวีดีโอชิ้นนี้ก็ยอมรับนะครับว่าคุณสุลัยมาน ของฝ่ายชีอะฮฺนั้นเป็นนักพูดตัวยงและถือเป็นคนที่ถ่ายทอดสื่อสารเก่งพอดู ผิดกับโต๊ะครูฝ่ายซุนนีที่การพูดค่อนข้างจะไม่เอาอ่าวเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตามหากมองในแง่ของความเป็นวิชาการและข้อมูลของคุณสุลัยมานแล้ว ผมเห็นจะบอกได้อย่างเต็มปากว่า คุณสุไลมานยังอ่อนหัดและนิยมใช้วิทยายุทธการตะกียะฮฺในการเสวนาอยู่มาก
อนึ่งบทความมิได้มีเจตนาจะวิภาษทุกๆส่วนของวีดีโอการเสวนาในครั้งนี้ หากแต่ต้องการจะชี้ให้เห็นถึงการหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามของคุณสุลัยมานในประเด็นของอัลกุรอาน ตลอดจนการบิดเบือนผู้ฟังถึงข้อเท็จจริงของการบิดเบือนอัลกุรอานของฝ่ายชีอะฮฺ

ในวีดีโอการเสวนาในครั้งนี้เกี่ยวกับประเด็นของอัลกุรอาน คุณสุลัยมานสรุปเอาว่า รายงานหรือริวายัติที่ระบุถึงการบิดเบือนในอัลกุรอานตามที่ปรากฎในตำราของชีอะฮฺนั้น หมายถึงการบิดเบือนในเชิงความหมาย หาใช่หมายถึงการบิดเบือนโดยการเพิ่มเติมอัลกุรอานเข้าไปใหม่ไม่ พร้อมกับได้ยกตัวอย่างในซูเราะฮฺอัศศอฟาที่เกี่ยวกับท่านนบีอิสมาอีล มาเป็นตัวอย่างแก่ผู้ฟัง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงตอนที่ท่านอาจารย์อะมีน เหมเสริม ของฝ่ายซุนนีได้ทำการยกหลักฐานจากตัฟซีรอัลกุมมี โดยการอ่านอายะฮฺกุรซี ที่ถูกระบุอยู่ในตำราของฝ่ายชีอะฮฺอย่างตัฟซีรอัลกุมมี ปรากฏพบว่าอายะฮฺกุรซี ในตัฟซีรอัลกุมมี นั้นผิดเพี้ยนและแตกต่างจากอัลกุรอานฉบับที่มุสลิมทั่วโลกเขาใช้กัน โดยมีการเพิ่มประโยคบางประโยคเข้าไป ซึ่งหากใครยังไม่เคยได้รับชมวีดีโอชิ้นนี้กรุณาดูให้เข้าใจเสียก่อน


























จากวีดีโอที่ได้ยกมานี้เราจะพบว่า ท่านอาจารย์อะมีน ได้อ่านอายะฮฺกุรซี ในเวอร์ชั่นชีอะฮฺออกมา จากนั้นทีมงานชีอะฮฺผู้อัดวีดีโอชิ้นนี้ก็ได้แสดง ความเขลา ออกมาโดยการขึ้นตัวอักษรว่า "เกินจริงหรือ" ในวีดีโอชิ้นที่สอง และจากนั้นในวีดีโอชิ้นที่สาม เมื่อถึงคราวที่คุณสุไลมานต้องพูด คุณสุไลมานก็เฉไฉ ด้วยการอ้างว่าตอบเคลียหมดแล้ว อยู่ที่ท่านจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจต่างหาก โดยพยายามเลี่ยงไม่ตอบหลักฐานที่อาจารย์อะมีน นำมาอ่านให้ฟัง แล้วก็เปิดประเด็นเรื่องซอฮาบะฮฺเข้ามาแทน ทั้งๆที่ในความเป็นจริงหลักฐานของท่านอาจารย์อะมีน นั้นเป็นหมัดเด็ดที่สำคัญที่มาล้มล้างคำอธิบายมักง่ายของคุณสุไลมานในตอนต้นที่ว่าอัลกุรอานนั้นบิดเบือนในเชิงความหมายเท่านั้น !!! เพราะหลักฐานที่ท่านอาจารย์อะมีนได้อ่านไปนั้นเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าการบิดเบือนอัลกุรอานตามที่ปรากฏอยู่ในตำราของลัทธิชีอะฮฺนั้นหมายถึงการบิดเบือน โดยการเพิ่มข้อความใหม่ๆเข้าไป หาใช่การบิดเบือนในเชิงความหมาย และเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าชีอะฮฺเชื่อว่าอัลกุรอานฉบับปัจจุบันไม่สมบูรณ์และชีอะฮฺใช้อัลกุรอานคนละเล่มกับซุนนีย์!!!!
สำหรับทีมงานชีอะฮฺผู้ทำวีดีโอชุดนนี้ออกมาปล่อยทางเว็บไซต์ ผมก็อยากจะกล่าวว่า การที่ท่านแสดงความขี้เท่อออกมาด้วยการเขียนข้อความในวีดีโอแทรกขึ้นมาว่า "เกินจริงหรือ" นั้นท่านได้เคยอ่านตัฟซีรอัลกุมมีบ้างแล้วสักครั้งหรือยัง? หากว่ายัง อย่างน้อยท่านก็ไม่ควรแสดงความฉลาดน้อยออกมาให้เห็นกันได้ขนาดนี้ เพราะอะไรนั้นหรือ? ก็เพราะว่าในวันนี้นั้นพระองค์อัลลอฮฺได้ทรงเปิดโปงอากีดะฮฺที่แท้จริงของชีอะฮฺ เกี่ยวกับอัลกุรอานซึ่งจะเป็นหลักฐานที่มาสนับสนุนคำพูดของอาจารย์อะมีนในวีดีโอชิ้นนี้ว่า อาจารย์อะมีนเป็นผู้ที่พูดจริง และคุณสุไลมานก็เป็นเพียงคนขี้ขลาดที่หลีกเลี่ยงไม่ยอมตอบคำถามของท่านอาจารย์อะมีน นั่นเอง
หลักฐานดังกล่าวนำมาจากเว็บไซต์ชื่อดังของโลกชีอะฮฺเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นเว็บไซต์ ศูนย์กลางของโลกชีอะฮฺ เว็บไซต์ดังกล่าวก็คือ อัลชีอะฮฺ ดอมคอม ซึ่งเป็นเว็บภาษาอาหรับ และที่สำคัญเว็บนี้มีตำราชีอะฮฺให้ดาวน์โหลดมากมายและหนึ่งในนั้นก็คือ ตัฟซีรอัลกุมมี !!!! เมื่อเราได้ทำการเข้าไปโหลด หนังสือเล่มดังกล่าวโดยเฉพะไปตรงส่วนของการตัฟซีรอายะฮิกุรซี เราจะพบสิ่งที่น่าตกใจก็คือ อายะฮฺกุรซีของชีอะฮฺไม่เหมือนของซุนนี!!! และเป็นแบบเดียวกับที่อาจารย์อะมีน เหมเสริมอ่านมันในวีดีโอ และสุไลมานนก็หลีกเลี่ยงไม่ตอบนั่นเอง!!!!!!!!!

กรุณาดูอายะฮฺกุรซีจากตัฟซีรอัลกุมมี ที่เราได้ทำการบันทึกมาจากหน้าเว็บไซต์ของพวกชีอะฮฺ(หากเห็นไม่ชัดกรุณาคลิกที่รูป)
โปรดสังเกตุตรงขีดสีแดงจะพบว่ามีการเพิ่มข้อความเข้ามาซึ่งผิดเพี้ยนจากอายะฮฺกุรซี ที่เราอ่านๆกันทุกวันหลังละหมาดฟัรดู
อีกหลักฐานหนึ่งก็คือจากเว็บไซต์ชีอะฮฺเช่นกันชื่อเว็บว่า 14mason.com ซึ่งปรากฎหะดีษจากกุลัยนี ซึ่งมีระบุอายะฮิกุรซี แบบเดียวกับตัฟซีรอัลกุมมีเป๊ะ









เราได้พบเห็นกันแล้วว่า ในขณะที่ชีอะฮฺเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเราปากจะพูดเสมอว่าอัลกุรอานสมบูรณ์ๆๆๆ แต่ในเว้บไซต์ของพวกเขากลับสอนว่าอัลกุรอานไม่สมบุรณ์
เมื่อเราได้พบหลักฐานที่ชัดแจ้งขนาดนี้แล้ว ก็อยากให้เราถามดูว่านี่หรือชัยชนะของการเสวนาที่ชีอะฮฺ ยกย่องและภูมิใจ การตะกียะฮฺหลีกเลี่ยงไม่ตอบนี่คือชัยชนะของชีอะฮฺงั้นหรือ และนี่ก็คือตัวอย่างเดียวจากหลายๆตัวอย่างที่คุณสุไลมานได้บิดเบือนไป



สำหรับทีมานชีอะฮฺผู้ทำวีดีโอชิ้นนี้ที่อุตส่าแสดงความเขลาออกมาด้วยการขึ้นตัวอักษรว่า "เกินจริงเหรอ" ก็ขอตอบว่า โครตจริงครับ น้องตะกียะฮฺ เอ๋ย


อ้อ ในวีดีโออันที่สองผมเห็นแว่บๆ ว่ามีตัวอักษรขึ้นใหญ่เลยว่า ชีอะฮฺท้าสาบานมุบาฮาละฮฺ ใครจะรับคำท้าบ้าง ก็ขอตอบว่าเมื่อเห็นการตะกียะฮฺกันขนาดนี้แล้ว จะกลัวกันอีกหรือ ผมคนนึงล่ะครับที่ขอรับคำท้าสาบานมุบาฮาละฮฺ

แต่ถ้าชีอะฮฺจะมาหาทางออกด้วยวิชามารตลอดกาลว่า เราไม่ยอมรับตัฟซีรอัลกุมมี ก็อยากบอกว่า สายไปแล้วล่ะครับ ในวีดีโอดังกล่าวนั้นคุณสุไลมานก็ออกปากยอมรับตัฟซีรอัลกุมมีเอง และกรุณาอ่านความยิ่งใหญ่ของตัฟซีรอัลกุมมีจากเว็บไซต์ชีอะฮฺภาษาไทยได้ที่

http://www.quranrasul.com/quranrasul/content/view/112/99/

ฐานะของท่านอะลีเปรียบเทียบกับท่านนบีตามอะกีดะฮฺชีอะฮฺ




อัซซัยยิด ละอฺนะตุลลอฮฺ อัลญะซาอีรีย์ อุลามะอฺและฟะฮฺกีฮฺ ผู้โด่งดังของลัทธิชีอะฮฺในอดีตได้บันทึกหะดีษบทหนึ่งที่ได้กล่าวเปรียบเทียบถึงท่านนบีมุฮัมมัดกับตัวท่านอะลีไว้ดังนี้

รอซูลลุลลอฮฺกล่าวว่า

" 3 ประการที่ถูกประทานให้แก่อะลีแต่ฉันไม่ได้มีสิทธิพิเศษในสิ่งที่ถูกประทานให้แก่ท่านอะลีเช่นนั้น คือ 1. เขามีความกล้าหาญแต่ฉันไม่มีเช่นนั้น 2.เขาถูกประทานภรรยาที่ประเสริฐเช่นฟะตีมะฮฺแต่ฉันไม่มีเช่นนั้น 3.เขามีบุตรที่ประเสริฐอย่างฮะซันและฮุซัยนฺแต่ฉันไม่เช่นนั้น"

จากหนังสือ "อัล อันวาร อันนัวอฺมานียะฮฺ" หน้าที่ 12

หากเราพิจารณาถึงหะดีษเก๊ ที่อุลามะอฺชีอะฮฺคนนี้ได้นำมาบันทึกไว้ในตำราเล่มนี้เราจะพบเห็นถึงความพยายามอันงมงายที่จะเสี้ยมสอนให้รู้ว่าท่านอะลีประเสริฐกว่าท่านนบีเสียอีก และจากหะดีษข้างต้นนี้เราสามารถผวนความหมายได้ว่า

1.ท่านนบีเป็นผู้ที่ไม่กล้าหาญหรือ "ขี้ขลาด"
2.ท่านนบีมีภรรยาที่ไม่ได้เรื่อง ซึ่งเท่ากับชีอะฮฺจะบอกอีกนัยหนึ่งว่าพระองค์อัลลอฮฺประทานสตรีที่ไม่ได้เรื่องให้เป็นคู่ครองแก่ท่านนบี
3.บุตรของท่านนบีทั้ง 7 ล้วนแล้วแต่ไม่ได้เรื่องเช่นกัน เทียบเท่ากับท่านฮะซันฮุเซนไม่ได้ ซึ่งเท่ากับชีอะฮฺจะบอกว่าพระองค์อัลลอฮฺนั้นรักใคร่เอ็นดูท่านอะลีมากกว่านบีเสียอีก เพราะถึงขนาดประทานบุตรที่ประเสริฐมาให้แก่ผู้เป็นอิมามทั้งๆที่รอซูลของพระองค์ยังไม่ได้รับสิทธิพิเศษแบบนี้เลย

แบบนี้ใช่ไหม เจตนาและความหมายที่แท้จริงที่อยู่ภายใต้การกิตมานและตะกียะฮฺของอุลามะอฺชีอะฮฺคนนี้ และเป็นความหมายที่ชีอะฮฺเองก็ต้องการใช่ไหม

แต่สำหรับพวกเราชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ ขอกล่าวว่า นะอูซุบิลละฮฺมินซาลิก ขอพระองค์อัลลอฮฺทรงปกป้องพวกเราจากความเชื่ออันอัปยศเช่นนี้เถิด

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

คำถาม 2 ข้อสำหรับชีอะฮฺ

ข้าฯมีความประสงค์จะให้เหล่าชีอะฮฺตลอดจนพี่น้องมุสลิมได้รับชมวีดีโอชิ้นนี้ เพื่อจะนำไปสู่คำถามแก่พวกชีอะฮฺอิมามียะฮฺ ซึ่งจะเป็นเครื่องชี้วัดถึงความศรัทธาของพวกเขา
ชี้แจงก่อนรับชม
ภาพคลิปวิดีโอชิ้นนี้ถ่ายมาจากมัสยิดแห่งหนึ่งในคูเวต ซึ่งเป็นบรรยากาศในพิธีกรรมของพวกลัทธิชีอะฮฺ ตัวผู้เทศนาคือ อัลลามะฮฺ ฮุซัยนฺ อัลฟะฮีด ผู้รู้ชาวชีอะฮฺในคูเวตซึ่งแต่เดิมเป็นชาวซาอุดีอารเบียและต่อมาได้ลี้ภัยออกจากซาอุดีอารเบียมาพำนักในคูเวต อนึ่ง อัลลามะฮฺ ฮุซัยนฺ อัลฟะฮีด ถือเป็นอุลามะอฺชีอะฮฺที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับจากประชาชนชีอะฮฺชาวคูเวต อีกทั้งยังเป็นประธานองค์กรของพวกชีอะฮฺในคูเวตที่ชื่อว่า "อะซาด อัลวิลายะฮฺ" ดังนั้นอยากจะบอกชีอะฮฺอิมามียะฮฺในไทยว่าอย่าฉวยโอกาศปฏิเสธผู้รู้รายนี้ของชีอะฮฺเพียงเพราะเห็นว่าไม่ได้สวมใส่สาระบั่นหนาเตอะเหมือนพวกซัยยิด(ปลอม)และเชคชีอะฮฺตามบ้านเรา ขอเชิญรับชมวิดีโอได้ครับ















คำแปล จากวีดีโอ
เป็นบทกวี แปลได้ใจความว่า
"อะลี โอ้ผู้เป็นพระพักต์ของพระผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล โอ้ ผู้เป็น ความลับแห่งความสามารถของพระองค์อัลลอฮฺ และเป็นลิ้นของอัลกุรอาน!!! โอ้อะลี ผู้สอนแก่ท่านนบีอดัม(อลัยฯ) ถึงวิธีการอภัยโทษต่อพระองค์อัลลอฮฺหลังจากความผิดพลาดและบาปของเขา!!!!!!(หมายถึงหลังจากท่านนบีอดัมได้ฝ่าฝืนพระองค์อัลลอฮฺโดยการเข้าถูกล่อลวงจากอิบลีส) โอ้ อะลี มีนักกวีคนหนึ่งคนใดบ้างไหมที่สามารถพรรณา(ถึงความสูงส่ง)ในตัวท่านได้ และต่อไปจนจบคลิป


บทสรุปจากวิดีโอชิ้นดังกล่าวที่อุลามะอฺชีอะฮฺคนนี้มีต่ออะลี
1. ท่านอะลีคือพระพักตร์ของพระองค์อัลลอฮฺ
2.ท่านอะลีคือ ความลับในเรื่องที่เกี่ยวกับความสามารถหรือเดชานุภาพของพระองค์อัลลอฮฺ
3.ท่านอะลีคือลิ้นของอัลกุรอาน
4.ท่านอะลีคือผู้สอนท่านนบีอะดัมถึงวิธีการเตาบะฮฺ(เรื่องนี้ขัดกับความจริงเพราะใครจะทำใจเชื่อได้ว่าตอนนั้นท่านอะลีเกิดเป็นตัวเป็นตนแล้ว)


คำถามสำหรับชีอะฮฺ กรุณาตอบอย่าเลี่ยง
1. ชีอะฮฺยอมรับหรือไม่ว่าคำกล่าวยกย่องท่านอะลีของ อัลลามะฮฺ ฮุซัยนฺ อัลฟะฮีด ว่าถูกต้อง หรือชีอะฮฺปฏิเสธมันว่าไม่ถูกต้อง ได้โปรดกรุณาตอบแค่ว่า "ถูก" หรือ "ไม่ถูก"

ตอบ ......................

2. หลังจากรับชมวีดีโอนี้แล้ว ชีอะฮฺยอมรับว่า อัลลามะฮฺ ฮุซัยนฺ อัลฟะฮีด เป็นอุลามะอฺของชีอะฮฺอิมามียะฮฺหรือไม่ ได้โปรดตอบแค่ว่า "ยอมรับ" หรือ "ไม่ยอมรับ"
ตอบ.............................

คิดให้ดีก่อนตอบ เพราะมันเกี่ยวกับอะกีดะฮฺ

หากตอบได้กรุณาแสดงความเห็นมาที่ช่องแสดงความเห็นข้างล่างนี้

วัสสลาม

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ฟัตวาชั่วๆจากโลกชีอะฮฺบุคคลสามารถค้าเฮโรอีนได้

ฟัตวาชั่วๆจากโลกชีอะฮฺ บุคคลสามารถค้าเฮโรอีนได้!!!
บทความที่ท่านผู้อ่านกำลังได้รับชมอยู่ต่อไปนี้หาใช่บทความที่เขียนขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายอย่างมืดบอดต่อกลุ่มบุคคลที่สังกัดอยู่ในลัทธิชีอะฮฺ แต่เป็นบทความที่เขียนขึ้นมาจากข้อเท็จจริงที่จับต้องได้ พิสูจน์ได้ และจากข้อมูลที่มาจากกลุ่มลัทธิชีอะฮฺเองจริงๆ
ขึ้นหัวข้อมาว่า “ฟัตวาชั่วๆจากโลกชีอะฮฺ บุคคลสามารถค้าเฮโรอีนได้” ท่านพี่น้องหลายท่านอาจจะดูว่าแรงไป หากแต่ในความเป็นจริงคำว่าชั่วหรือระยำอัปรีย์สถุลชาติตระกูล ยังดูน้อยไปหากคิดถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากฟัตวานี้ เพราะนอกจากฟัตวาจะทำให้ใครต่อใครหันมาเป็นพ่อค้าเฮโรอีนได้อย่างสบายใจหรือเป็น “บังรอนเวอร์ชั่นชีอะฮฺ” แล้วมันยังทำลายภาพลักษณ์ของศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์ที่จะถูกมองจากภายนอกว่าเป็นศาสนาที่ชั่วครบสูตรจริงๆ เพราะนอกจากจะสอนให้เล่นมุตอะฮฺกับสาวๆกันลืมตาย และทรมานร่างกายเด็กๆในวันอาชูรอแล้ว ยังจะถูกมองว่าเป็นศาสนาที่อนุมัติให้ค้าขายยานรกที่ทุกประเทศทั่วโลกและทุกศาสนามองว่าเป็นสิ่งต้องห้าม และที่บัดซบเข้าเส้นเลือดก็คือกลุ่มคนที่ออกมาฟัตวานี้คือกลุ่มคนที่โฆษณาอยู่ตลอดว่า ตนเป็นอิสลามที่แท้จริงจากลูกหลานของนบี ตนเป็นรัฐอิสลามอันแข็งแกร่งที่ตะวันตกหวาดกลัว ตนเป็นพวกเดียวที่ยืนหยัดในความถูกต้องไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลความชั่วใดๆ และที่สำคัญโฆษณากันหั่นแหลกว่าตนเป็นกลุ่มคนที่อยู่ภายใต้ระบอบการปกครองที่เรียกว่า “วิลายัตอัลฟะฮฺกี” ซึ่งเป็นระบบการปกครองที่ผู้นำศาสนามีอำนาจชี้ขาดดังนั้น ความชั่วร้ายต่างๆจักไม่สามารถออกมาจากผู้อยู่ใต้ระบบการปกครองเช่นนี้ ในความเป็นจริงกลุ่มคนเหล่านี้ก็คือคนตลบตะแลงกลุ่มเดียวกับพวกที่ทำเว็บไซต์ที่ชื่อว่า www.islamichomepage.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เก่งกาจในแง่ของสร้างภาพลบแก่พี่น้องมุสลิมทุกๆกลุ่มอย่างปราศจากหลักฐานที่ชัดเจน เรามักจะได้เห็นได้อ่านข่าวคราวจากพวกมารร้ายเหล่านี้ที่มักจะปล่อยออกมาเพื่อทำลายมุสลิมทุกกลุ่ม เช่น ออกมาว่าอดีตอธิบดีอัสฮัร(เชคฏอนฏอวี) คือสุนัขรับใช้อเมริกา โจมตีเชคก็อรฺดอวีว่ากลับกลอก กล่าวหาว่ามุฟตีซาอุดี้ฯฟัตวาเข้าทางยิวอเมริกา กล่าวหาว่าสภาอุลามะอฺแห่งอิยิปต์ว่าฟัตวาให้ชายหญิงจูบหรือหอมกันได้ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นข่าวโครมลอยที่ปราศจากตัวบทหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร แต่พวกชีอะฮฺกลับกลอกเหล่านี้ไม่เคยนำเสนอความเน่าเปื่อยที่อยู่ในกลุ่มพรรคพวกของตนเลย ไม่ว่าจะการเล่นมุตอะฮฺของชายแก่ที่ชื่อโคไมนี่กับเด็กหกขวบ การฟัตวาห้ามต่อสู้กับอเมริกาของซิสตานี การร่วมมือกันแบ่งสรรผลประโยชน์ในอิรัคกับอเมริกาของกลุ่มปฏิวัติอิสลามแห่งอิรัค ภายใต้การนำของ อับดุลอะซีส อัลฮะกีม และเช่นกัน ไม่เคยเขียนเอาเลยว่าในลัทธิชีอะฮฺมีคำฟัตวาว่าอนุมัติให้ชีอะฮฺทำตัวเป็น เอเย่นค้าเฮโรอีนได้!!!! ดังตัวอย่างที่เราจะเขียนต่อไปนี้

ใครฟัตวา?
ก่อนจะเข้าสู่ข้อมูลหลักฐานเราจำต้องมารู้จักผู้ฟัตวาว่าคือใคร และมีฐานะที่สูงส่งอย่างไรในหมู่ชาวชีอะฮฺ ผู้ฟัตวาก็คือ อยาตุชชัยตอน ซัยยิดอบุลกอซิม อัลคูอีย์ อดีตมัรญิอฺตักลีด(ผู้วินิจฉัยศาสนาสูงสุด) แห่งประเทศอิรัค ผู้เป็นอาจารย์ของนักปราชญ์ชั้นสูงของโลกชีอะฮฺอย่าง อัลซิสตานี หากจะรู้ว่าผู้ฟัตวาใหญ่ขนาดไหนเราลองคิดดูแล้วกันว่าพวกเชคใหญ่ๆตามอิหร่านยังต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนกับ อัลคูอีย์ คนนี้ที่เมืองนะญัฟ ประเทศอิรัค อีกทั้งผลงานและองค์กรต่างๆที่ใช้ชื่อว่า สถาบันอิมามอัลคูอีย์ ซึ่งเป็นสถาบันเผยแพร่ชีอะฮฺที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ล้วนมาจากการก่อตั้งของผู้ฟัตวาคนนี้และคนในสถาบันก็ล้วนแต่เป็นลูกหาบของนายคนนี้ทั้งสิ้น ซึ่งสถาบันดังกล่าวก็มีในประเทศไทยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงหายห่วงเรื่องความน่าเชื่อถือของผู้ฟัตวา (น่ากลัวใจจริงๆว่าหากผู้คนพากันเข้ารีตเป็นชีอะฮฺกันมากต่อไปจะมีเอเย่นขายเฮโรอีนสวมสาระบั่นสีดำเดินกันวุ่น)

ภาพถ่ายของ อบุลกอซิม อัลคูอีย์ ผู้ฟัตวา(ซ้าย) กับสักขีพยานแห่งการเป็นนักปราชญ์ของโลกชีอะฮฺ คนขวา นายอะลี ซิสตานี เชคใหญ่จากอิหร่านผู้ถวายตัวเป็นลูกศิษย์ของอัลคูอีย์ เป็นหลักฐานที่บอกได้อย่างชัดเจนว่าผู้ฟัตวามิใช่คนที่เชื่อถือมิได้ในหมู่ชาวชีอะฮฺ



หลักฐานการฟัตวา (ดูซะชีอะฮฺ แล้วเลิกงมงายได้แล้ว)
นำมาจากหนังสือ صراطنجاة ของอัลคูอีย์ กรุณาสังเกตุตรงที่แต้มสีแดงไว้ระบุอย่างชัดเจนว่าอนุมัติให้ทำการค้าขายเฮโรอีนและผลิตมันได้!!!!!!!!! สำหรับคนที่รู้อาหรับจะอ่านเข้าใจ(ละอฺนะตุลลอฮุอะลัยกุม ยาชีอะฮฺๆๆๆๆๆๆ)

หน้าปกหนังสือ



แม้ว่าการฟัตวานี้จะไม่ระบุถึงการเสพย์มันว่าอนุมัติหรือไม่ แต่อย่างไรเสียคนกี่พันล้านคนที่จะต้องตกเป็นทาสยานรกนี้เพราะคำฟัตวาสิ้นคิดเหล่านี้ อย่าว่าแต่เฮโรอีนเลย แม้กระทั่งสุราที่กินแล้วไม่อันตรายเท่าเฮโรอีนอิสลามยังห้ามที่จะมุสลิมนั่งร่วมโต๊ะสังคกรรมกับผู้ดื่ม !!!! ชีอะฮฺจะต้องรับผิดชอบกับการกระทำที่ทำร้ายต่อมนุษยชาติและทำลายภาพลักษณ์พี่น้องมุสลิมทั่วโลก

แล้วชีอะฮฺจะทำอย่างไรต่อไป ?
แน่นอนเมื่อเราได้ทำการแฉความชั่วร้ายของนักปราชญ์ชั้นสูงของโลกชีอะฮฺ หรือซาตานในคราบนักบุญแล้ว เชื่อเหลือเกินว่าบรรดาชีอะฮฺคงจะร้อนรุ่มดั่งไฟเผา เตรียมควานหาข้อมูลเพื่อแก้ตัวเป็นแน่แท้ แต่ชีอะฮฺจะปฏิเสธได้อย่างไรกันเล่าในเมื่อหลักฐานมันแจ่มแจ้งขนาดนั้น ทางเลือกของลัทธิชีอะฮฺมีแค่ตัวเลือกไม่กี่ตัวเลือกดังนี้

๑. ถอดถอนตำแหน่งอยาตุลลอฮฺของคูอีซะ และเขียนประณามมันในเว็บไซต์ของชีอะฮฺทุกๆเว็บไซต์ อันเป็นการแสดงตนว่าไม่ศรัทธาต่อผู้ฟัตวาคนนี้ ให้สมกับที่ชอบวิจารณ์ชาวบ้าน
๒. ทำลายสื่อสิ่งพิมพ์ และองค์กรสถาบันต่างๆที่เป็นของผู้ฟัตวา เพราะไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเงินที่นำมาใช้ในการตีพิมพ์หนังสือศาสนาและจัดตั้งสถาบันจะไม่ใช่เงินจากการขายเฮโรอีน เพราะการขายเฮโรอีนเป็นธุรกิจเถื่อนที่ทำกำไรดี โดเฉพาะประเทศในกลุ่มตะวันออกกลางอย่างเช่น อิรัค และประเทศทางแถบอเมริกาใต้
๓. ด่าประณามคูอีย์ในหนังสือทางศาสนาทุกๆเล่ม ให้ได้แค่ครึ่งเดียวกับที่ชอบด่าซอฮาบะฮฺอย่างท่าน อบูบักร อุมัรและอุสมานก็ได้ มิเช่นนั้นท่านจะเข้าข่ายกลับกลอกอย่างแท้จริง

แต่หากชีอะฮฺยังคงนั่งเฉยเป็นชัยตอนใบ้ แถมยังปกป้องคูอีย์โดยข้อแก้ตัวห่วยๆแค่ว่า “ไม่จริงๆๆ วะฮาบีใส่ร้าย วะฮาบีสร้างความแตกแยกและสร้างฟิตนะฮฺ” ก็จงรู้ไว้เถิด บรรดามุสลิมทุกกลุ่มบนผืนปฐพีนี้จะทำสงครามประชาชนปลดแอกความโสโครกของโลกจากกลุ่มลัทธิชีอะฮฺเอง เพื่อปกป้องบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺจากการถูกแอบอ้าง ปกป้องมนุษยชาติทุกๆศาสนาจากการตกเป็นทาสยานรกของพวกลัทธิชีอะฮฺ ตลอดจนสืบทอดเจตนารมณ์ของบรรดาซอฮาบะฮฺที่ทุ่มเททำลายความชั่วที่มีอยู่ในโลกทั้งหมด

อีกมุมหนึ่งของอบุลกอซิม อัลคูอีย์ กับมาดการสูบบุหรี่ที่สร้างความตะลึงแก่ชาวซุนนี(มิน่าเล่าถึงได้ฟัตวาว่าขายเฮโรอีนได้)

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พิธีกรรมการทรมานตนเองในลัทธิชีอะฮฺ

เรื่องราวของพิธีกรรมการทรมานตนเองในหมู่ผู้นับถือลัทธิธรรมเนียมของชีอะฮฺนั้นได้ตกเป็นที่สนใจและสร้างความน่าสะพรึงกลัวแก่ผู้ที่มิใช่มุสลิมเป็นอย่างมาก(หรือกระทั่งมุสลิมเองก็ตาม) ข้าฯยังคงจำได้ดีถึงสถานีโทรทัศน์ในบ้านเราที่คอยติดตามรายงานข่าวถึงพิธีกรรมอันบ้าคลั่งและน่าสะพรึงกลัวของผู้สังกัดตนอยู่ในลัทธิชีอะฮฺทั่วทุกมุมโลก พร้อมๆไปกับหัวใจที่ปล่าวเปลี่ยวและละเหี่ยอย่างไม่อาจที่จะถ่ายทอดความรู้สึกเป็นตัวหนังสือได้ สืบเนื่องจากว่าในการรายงานข่าวแทบทุกช่องนั้นมีการระบุอย่างคลาดเคลื่อนว่าพิธีกรรมอันบ้าคลั่งนี้เป็นพิธีกรรมของศาสนาอิสลาม!!! ท่านผู้อ่านลองคิดไตร่ตรองดูเถิดว่า ผลกระทบที่ได้เกิดขึ้นจากการที่สำนักข่าวเหล่านี้เสนอข่าวแก่ผู้ชมทั่วประเทศนั้นจะก่อให้เกิดทัศนคติของชนต่างศาสนิกต่ออิสลามอย่างย่ำแย่ขนาดไหน ? กี่ร้อยพ่อพันแม่ที่จะต้องคิดว่า อิสลามก็เป็นศาสนาที่มีพิธีกรรมอันล้าหลังคร่ำครึและมีพิธีกรรมที่ไม่ต่างอะไรเลยกับเทศกาลลุยไฟ เข้าทรงเจ้า ของชาวจีน กี่แสนคนกันเล่าที่จะต้องคิดในใจว่า อิสลามก็เป็นศาสนาที่ถูกสร้างขึ้นจากน้ำมือมนุษย์โดยมีพิธีกรรมที่กระทำขึ้นมาเพื่อบูชาตัวบุคคลผู้เป็นหลานชายของผู้ก่อตั้งศาสนาหรือที่เรียกว่า “เจ้าเซน” และเช่นกันพิธีกรรมอันโสโครกของลัทธิชีอะฮฺเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจที่ยังไม่มั่นคงของมุอัลลัฟที่กำลังศึกษาอิสลามอย่างบริสุทธิ์ใจมากมายแค่ไหน!! และแน่ล่ะ เราคงไม่ต้องไปคิดถึงการฉวยโอกาสของกลุ่มคนที่เกลียดชังอิสลามอยู่แล้วที่จะได้โอกาสนำเอาพิธีกรรมอันงี่เง่าเต่าตุนเช่นนี้มาด่าทอประณามอิสลามว่าเป็นศาสนาแห่งความบ้าคลั่งกันให้เสียเวลา
สำหรับมุสลิมเราๆทั้งหลายนั้นแค่เพียงมองพิธีกรรมดังกล่าวนี้อย่างผิวเผินก็สามารถสรุปได้อย่างทันทีว่ามันไม่มีตรงไหนที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์ของเราเลย แต่เราจะปฏิเสธอย่างมีน้ำหนักได้อย่างไรกันเล่าในเมื่อคนกลุ่มหนึ่งที่แสดงตนว่าเป็นอิสลาม ไว้เครา ใส่โต๊บดำ สวมฮิญาบ นั้นกลับส่งเสริมให้ทำพิธีกรรมอันบ้าคลั่งเหล่านั้นกันอย่างถ้วนหน้า อันที่จริงเขียนมาถึงตรงนี้แล้วอาจจะมีบางท่านที่ยังสับสนว่าพิธีกรรมดังกล่าวนั้นคืออะไร ก็จะขออธิบายอย่างรวบรัดว่า พิธีกรรมดังกล่าวมานั้นเรียกว่า “มะต่าม” อันเป็นพิธีกรรมที่มีรูปแบบของการทรมานตนเองโดยการตีอกชกหัวจนเลือดสาดกระจุย ซึ่งเป็นพิธีกรรมของกลุ่มลัทธิชีอะฮฺ โดยกระทำขึ้นมาเพื่อรำลึกถึงโศกนาฏกรรมอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับลูกหลานของท่านนบีที่เมืองกัรบาลา ประเทศอิรัค อย่างไรก็ตามสาเหตุการตายของท่านอิมามฮุเซนนั้นก็เป็นผลมาจากการทรยศและปลิ้นปล้อนอันเป็นสันดานดั้งเดิมของกลุ่มลัทธิชีอะฮฺ ซึ่งหากผู้อ่านท่านใดสนใจสามารถหาอ่านได้จากลิงค์นี้
คลิก
อย่างไรก็ตามภาพอันบ้าคลั่งของพิธีกรรมที่ถูกเรียกว่า “มะต่าม” นี้กลับกลายมาเป็นสถานการณ์ที่สร้างให้ลัทธิชีอะฮฺต้องประสบกับความยากลำบากในการเผยแพร่เข้ามาในหมู่พี่น้องชาวซุนนี สืบเนื่องมาจากว่าพิธีกรรมเหล่านี้เป็นต้นเหตุให้พี่น้องมุสลิมเกิดอาการที่ขยะแขยงต่อลัทธิชีอะฮฺจนถึงขนาดตัดสินเลยว่าชีอะฮฺเป็นเพียงลัทธิหลงผิดจากคำสอนของอิสลามซึ่งพิธีกรรมดังกล่าวนี้ก็เป็นเพียงภาพสะท้อนหนึ่งจากพิธีกรรมอันหลงผิดอีกมากมายที่ปรากฏในศาสนาชีอะฮฺนี้ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์กำลังเข้าขั้นวิกฤติ อาวุธสุดท้ายที่ชื่อว่า “ตะกียะฮฺ” หรือการปกปิดอำพรางโกหก ก็ถูกงัดออกมาใช้กับพิธีกรรมดังกล่าวนี้ โดยทางสถาบันชีอะฮฺในไทยตลอดจนเว็บไซต์หนังสือมากมายได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการกระทำพิธีกรรมดังกล่าวของชาวชีอะฮฺทั่วทุกมุมโลกนับล้านคน โดยให้เหตุผลว่าการกระทำพิธีกรรมในแบบดังกล่าวของชีอะฮฺนับล้านคนนั้นเป็นที่ต้องห้าม เพราะปราชญ์ชั้นสูงของโลกชีอะฮฺนามว่า อยาตุลลอฮฺ อะลี ซิสตานี ได้ฟัตวาว่าการตีอกชกหัวเป็นที่ฮะรอม!!!
ภาพของนาย อะลี ซิสตานี
แต่ในขณะเดียวกันเอกสารที่ทำแจกจ่ายกันในประเทศอิรัคอันเป็นประเทศศูนย์กลางของโลกชีอะฮฺ กลับระบุว่าการกระทำพิธีกรรมดังกล่าวนั้นไม่ฮะรอมและเป็นสิ่งที่ประเสริฐด้วยซ้ำไป ซึ่งในเอกสารดังกล่าวได้นำเอาคำฟัตวาของนักปราชญ์ชั้นสูงของโลกชีอะฮฺ 5 คนมารับรองและหนึ่งในนั้นก็กลับมีนายอะลี ซิสตานี ด้วยซ้ำ!!!!!! เอกสารที่ท่านกำลังเห็นด้านล่างนี้คือเอกสารที่ระบุถึงความประเสริฐของการทำพิธีกรรม “มะต่าม” ในวันอาชูรอโดยประมวลคำฟัตวามาจากนักปราชญ์ของลัทธิชีอะฮฺดังต่อไปนี้
(จากซ้ายไปขวา) 1) อิมามซีรอซี 2) อัซซยิดอะลี อัลซิสตานี ๓) อัซซัยยิด อบุลกอซิมอัลคูอี ๔) อัลอิมามุชชัยคฺ มุฮัมมัด ฮุซัยนฺ ๕) อัลอิมามุชชัยคฺ อับดุลกะรีม อัลฮาอิรีย์
ตำราของลัทธิชีอะฮฺที่พร่ำสอนอย่างมากมายถึงความประเสริฐของการทรมานตนเองในพิธีกรรมของวันอาชูรอ
ฟัตวาจากอุลามะอฺชีอะฮฺที่ระบุถึงการตีอกชกหัวและทรมานตัวเองในวันอาชูรออฺว่าเป็นสิ่งที่อนุมัติ
จากเอกสารดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานบ่งชี้กันได้อย่างดีว่าพิธีกรรมดังกล่าวนอกจากจะเป็นที่อนุมติแล้วยังเป็นที่ประเสริฐอีกด้วยตามความเชื่อของชาวชีอะฮฺ และนั่นคือเหตุผลที่ว่าเหตุใดพิธีกรรมอันบ้าคลั่งเช่นนี้ไม่เคยหมดไปจากโลกชีอะฮฺเลย แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นสถาบันชีอะฮฺในไทยนั้นคำนึงถึงความอ่อนแอของลัทธิชีอะฮฺในไทยด้วยเกรงว่าพิธีกรรมดังกล่าวนี้จะทำลายการขยายตัวของชีอะฮฺในไทยจึงได้มีการตะกียะฮฺออกคำฟัตวาว่าเป็นที่ฮะรอม ซึ่งทำให้ลัทธิชีอะฮฺในไทยเป็นบุคคลประเทศเดียวในโลกนี้ที่ไม่มีการออกมาทำพิธีกรรมอันบ้าคลั่งนี้กันตามท้องถนนเหมือนกับที่ประเทศอื่นๆเขาทำกัน!!!!! มิหนำซ้ำ วิดีโอชิ้นหนึ่งที่ถ่ายทอดออกมาจากประเทศอิรัคเกี่ยวกับการกระทำพิธีกรรมนี้ก็เพียงพออีกเช่นกันที่จะบอกแก่เราว่าลัทธิชีอะฮฺในไทยนั้นอยู่ได้ด้วยการตะกียะฮฺ วิดีโอดังกล่าวนี้เป็นคลิปของ ชัยคฺ อับดุลฮะมีด นักปราชญ์ของชาวชีอะฮฺที่ได้เทศนาแก่ชาวลัทธิชีอะฮฺในสุเหร่า โดยระบุอย่างชัดเจนว่า ผู้ใดก็ตามที่บังอาจกล่าวว่าการตีอกชกหัวทำร้ายตนเองในวันอาชูรอเป็นสิ่งต้องห้ามนั้น จงรู้ไว้เถิดว่าพวกเหล่านั้นเป็นพวกที่ไม่รู้จักอิสลาม !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ท่านสามารถดูวีดีโอดังกล่าวได้จากตัวนี้ ในตอนกลางๆของวีดีโอ มีการระบุถ้อยคำดังที่อ้างไว้อย่างชัดเจน จากลิงค์นี้
















วิดีโออีกชิ้นหนึ่งที่ถือว่าบ่งบอกแก่เราได้เป็นอย่างดีถึงพิธีกรรมอันบ้าคลั่งของชาวลัทธิชีอะฮฺก็คือ วีดีโอต่อไปนี้












จากวีดีโอชิ้นดังกล่าวนี้เราจะพบถึงพิธีกรรมอันบ้าคลั่งของพวกเขา ซึ่งตัวผู้เทศนาและนำการทำพิธีกรรมคือ ซัยยิดมุฮัมมัด บากิร อัลฮะกีม หนึ่งในผู้รู้ที่โด่งดังที่สุดของอิรัคและเป็นศิษย์เอกคนสำคัญของโคไมนี่ ซึ่งได้รับคาดหวังจากชาวชีอะฮฺทั่วโลกว่าจะขึ้นมาปฏิวัติอิรัคจากซัดดัม ฮุเซน และดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของอิรัค พิธีกรรมดังกล่าวกระทำกันในเมืองกุม(แหล่งศาสนาของชีอะฮฺ) ประเทศอิหร่าน คำถามที่ตามมาจากการได้ดูวีดีโอชิ้นนี้คือ
๑. หากพิธีกรรมดังกล่าวเป็นที่ฮะรอมจริงๆตามที่ชีอะฮฺชอบอ้าง ทำไมอุลามะอฺชีอะฮฺคนนี้กลับทำให้เป็นแบบอย่างแก่ประชาชนเสียเอง
๒. หากพิธีกรรมดังกล่าวเป็นที่ฮะรอมจริงๆ รัฐบาลอิหร่านจะเมินเฉยได้อย่างไรเพราะตัวผู้กระทำนั้นเป็นถึงคนสนิทของโคไมนี่และอะลี คอมาเนอี
๓. และผลจากการเสี้ยมสอนความบ้าคลั่งเช่นนี้จะก่อให้เกิดการเอาเยี่ยงอย่างของเยาวชนลัทธิชีอะฮฺมากแค่ไหน

เราได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีกรรมอันบ้าคลั่งดังกล่าวนี้พอสมควรแล้ว ต่อไปนี้จะขอให้ภาพเป็นตัวพูดถึงพิธีกรรมอันบ้าคลั่งเหล่านี้กันบ้าง ภาพที่ท่านจะได้รับชมต่อไปนี้ประมวลมาจากพิธีกรรมอันบ้าคลั่งนี้จากที่ต่างๆของโลก เชิญรับชมกันให้จุใจครับ
กับเด็กก็ยังไม่เว้น
ภาพเปรียบเทียบระหว่างลัทธิชีอะฮฺกับสัตว์ ในขณะที่สัตว์นั้นปกป้องดูแลลูกๆชองมันจากความเจ็บปวดแต่ลัทธิชีอะฮฺตำกว่าสัตว์กลับทำร้ายลูกของตน
ใครยังดูไม่จุใจดูเพิ่มเติมได้ที่นี้
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ إِنَّ الدِّينَ يُسْرٌ، وَلَنْ يُشَادَّ الدِّينَ أَحَدٌ إِلاَّ غَلَبَهُ، فَسَدِّدُوا وَقَارِبُوا وَأَبْشِرُوا، وَاسْتَعِينُوا بِالْغَدْوَةِ وَالرَّوْحَةِ وَشَىْءٍ مِنَ الدُّلْجَةِ ‏"‏‏.‏
อบีฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ท่านนบีศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ แท้จริงศาสนา (อิสลาม) นั้นง่าย และจะไม่มี (มุสลิม) คนใดที่จะประสบความยากลำบากเกินความสามารถในการถือปฏิบัติศาสนา นอกจากเขามีความสามารถกระทำได้ ดังนั้นพวกเจ้าจงยืนหยัดบนความถูกต้อง และพยายามใกล้ชิดกับหลักการศาสนาให้มากที่สุด และจงรับข่าวดี (คือรางวัลตอบแทนสำหรับผู้ยืนหยัดในศานา) และจงหมั่นเพียร (ทำอิบาดะห์) ทั้งยามเช้า และยามเย็น และช่วงเวลาหนึ่งในยามค่ำคืน
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ اثْنَتَانِ فِي النَّاسِ هُمَا بِهِمْ كُفْرٌ الطَّعْنُ فِي النَّسَبِ وَالنِّيَاحَةُ عَلَى الْمَيِّتِ ‏" อบีฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “สิ่งสองประการ ที่ทำให้ผู้คนอยู่ในสภาพปฏิเสธการศรัทธา คือ การใส่ความเกี่ยวกับเชื้อสายวงศ์วานของผู้อื่น และพิธีกรรมคร่ำครวญถึงผู้ตาย”
أَخْبَرَنَا أَبُو عُمَيْسٍ، قَالَ سَمِعْتُ أَبَا صَخْرَةَ، يَذْكُرُ عَنْ عَبْدِ الرَّحْمَنِ بْنِ يَزِيدَ، وَأَبِي، بُرْدَةَ بْنِ أَبِي مُوسَى قَالاَ أُغْمِيَ عَلَى أَبِي مُوسَى وَأَقْبَلَتِ امْرَأَتُهُ أُمُّ عَبْدِ اللَّهِ تَصِيحُ بِرَنَّةٍ ‏.‏ قَالاَ ثُمَّ أَفَاقَ قَالَ أَلَمْ تَعْلَمِي - وَكَانَ يُحَدِّثُهَا - أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ أَنَا بَرِيءٌ مِمَّنْ حَلَقَ وَسَلَقَ وَخَرَقَ ‏"‏
อบูอุมัยช์ ได้บอกกับเราโดยกล่าวว่า ฉันเคยได้ยิน อบาศ็อคเราะห์ เล่าจากอับดุรเราะห์มาน บินยะซีด และอบีบุรดะห์ บินอบีมูซา ทั้งสองกล่าวว่า อบูมูซา (เจ็บหนัก) ไม่รู้สึกตัว และอุมมุอับดิลลาห์ ภรรยาของเขาได้รีบมาที่นั่น โดยร้องสะอึกสะอื้นอย่างเสียงดัง ทั้งสองรายงานว่า หลังจากอบูมูซารู้สึกตัวก็กล่าวว่า เธอไม่รู้เลยหรืออย่างไร แล้วเขาก็ให้เธอฟังว่า แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ฉันบริสุทธิ์ (ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง) กับผู้ที่โกนศีรษะ, คร่ำครวญด้วยเสียงดัง, และการฉีกเสื้อผ้า” (ซึ่งเป็นพฤติกรรมของญาฮิลีญะห์เมื่อประสบภัยพิบัติ,มีทุกข์โศก หรือเมื่อมีการตายเกิดขึ้น)
แล้วพวกท่านจะยังปล่อยให้ลัทธิสกปรกเช่นนี้ทำลายอิสลามไปถึงไหน โอ้ มุสลิมจงลุกขึ้นทำสงครามประชาชนกับพวกมันเสียเถิด