เรื่องราวของพิธีกรรมการทรมานตนเองในหมู่ผู้นับถือลัทธิธรรมเนียมของชีอะฮฺนั้นได้ตกเป็นที่สนใจและสร้างความน่าสะพรึงกลัวแก่ผู้ที่มิใช่มุสลิมเป็นอย่างมาก(หรือกระทั่งมุสลิมเองก็ตาม) ข้าฯยังคงจำได้ดีถึงสถานีโทรทัศน์ในบ้านเราที่คอยติดตามรายงานข่าวถึงพิธีกรรมอันบ้าคลั่งและน่าสะพรึงกลัวของผู้สังกัดตนอยู่ในลัทธิชีอะฮฺทั่วทุกมุมโลก พร้อมๆไปกับหัวใจที่ปล่าวเปลี่ยวและละเหี่ยอย่างไม่อาจที่จะถ่ายทอดความรู้สึกเป็นตัวหนังสือได้ สืบเนื่องจากว่าในการรายงานข่าวแทบทุกช่องนั้นมีการระบุอย่างคลาดเคลื่อนว่าพิธีกรรมอันบ้าคลั่งนี้เป็นพิธีกรรมของศาสนาอิสลาม!!! ท่านผู้อ่านลองคิดไตร่ตรองดูเถิดว่า ผลกระทบที่ได้เกิดขึ้นจากการที่สำนักข่าวเหล่านี้เสนอข่าวแก่ผู้ชมทั่วประเทศนั้นจะก่อให้เกิดทัศนคติของชนต่างศาสนิกต่ออิสลามอย่างย่ำแย่ขนาดไหน ? กี่ร้อยพ่อพันแม่ที่จะต้องคิดว่า อิสลามก็เป็นศาสนาที่มีพิธีกรรมอันล้าหลังคร่ำครึและมีพิธีกรรมที่ไม่ต่างอะไรเลยกับเทศกาลลุยไฟ เข้าทรงเจ้า ของชาวจีน กี่แสนคนกันเล่าที่จะต้องคิดในใจว่า อิสลามก็เป็นศาสนาที่ถูกสร้างขึ้นจากน้ำมือมนุษย์โดยมีพิธีกรรมที่กระทำขึ้นมาเพื่อบูชาตัวบุคคลผู้เป็นหลานชายของผู้ก่อตั้งศาสนาหรือที่เรียกว่า “เจ้าเซน” และเช่นกันพิธีกรรมอันโสโครกของลัทธิชีอะฮฺเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจที่ยังไม่มั่นคงของมุอัลลัฟที่กำลังศึกษาอิสลามอย่างบริสุทธิ์ใจมากมายแค่ไหน!! และแน่ล่ะ เราคงไม่ต้องไปคิดถึงการฉวยโอกาสของกลุ่มคนที่เกลียดชังอิสลามอยู่แล้วที่จะได้โอกาสนำเอาพิธีกรรมอันงี่เง่าเต่าตุนเช่นนี้มาด่าทอประณามอิสลามว่าเป็นศาสนาแห่งความบ้าคลั่งกันให้เสียเวลา
สำหรับมุสลิมเราๆทั้งหลายนั้นแค่เพียงมองพิธีกรรมดังกล่าวนี้อย่างผิวเผินก็สามารถสรุปได้อย่างทันทีว่ามันไม่มีตรงไหนที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์ของเราเลย แต่เราจะปฏิเสธอย่างมีน้ำหนักได้อย่างไรกันเล่าในเมื่อคนกลุ่มหนึ่งที่แสดงตนว่าเป็นอิสลาม ไว้เครา ใส่โต๊บดำ สวมฮิญาบ นั้นกลับส่งเสริมให้ทำพิธีกรรมอันบ้าคลั่งเหล่านั้นกันอย่างถ้วนหน้า อันที่จริงเขียนมาถึงตรงนี้แล้วอาจจะมีบางท่านที่ยังสับสนว่าพิธีกรรมดังกล่าวนั้นคืออะไร ก็จะขออธิบายอย่างรวบรัดว่า พิธีกรรมดังกล่าวมานั้นเรียกว่า “มะต่าม” อันเป็นพิธีกรรมที่มีรูปแบบของการทรมานตนเองโดยการตีอกชกหัวจนเลือดสาดกระจุย ซึ่งเป็นพิธีกรรมของกลุ่มลัทธิชีอะฮฺ โดยกระทำขึ้นมาเพื่อรำลึกถึงโศกนาฏกรรมอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับลูกหลานของท่านนบีที่เมืองกัรบาลา ประเทศอิรัค อย่างไรก็ตามสาเหตุการตายของท่านอิมามฮุเซนนั้นก็เป็นผลมาจากการทรยศและปลิ้นปล้อนอันเป็นสันดานดั้งเดิมของกลุ่มลัทธิชีอะฮฺ ซึ่งหากผู้อ่านท่านใดสนใจสามารถหาอ่านได้จากลิงค์นี้
คลิก
อย่างไรก็ตามภาพอันบ้าคลั่งของพิธีกรรมที่ถูกเรียกว่า “มะต่าม” นี้กลับกลายมาเป็นสถานการณ์ที่สร้างให้ลัทธิชีอะฮฺต้องประสบกับความยากลำบากในการเผยแพร่เข้ามาในหมู่พี่น้องชาวซุนนี สืบเนื่องมาจากว่าพิธีกรรมเหล่านี้เป็นต้นเหตุให้พี่น้องมุสลิมเกิดอาการที่ขยะแขยงต่อลัทธิชีอะฮฺจนถึงขนาดตัดสินเลยว่าชีอะฮฺเป็นเพียงลัทธิหลงผิดจากคำสอนของอิสลามซึ่งพิธีกรรมดังกล่าวนี้ก็เป็นเพียงภาพสะท้อนหนึ่งจากพิธีกรรมอันหลงผิดอีกมากมายที่ปรากฏในศาสนาชีอะฮฺนี้ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์กำลังเข้าขั้นวิกฤติ อาวุธสุดท้ายที่ชื่อว่า “ตะกียะฮฺ” หรือการปกปิดอำพรางโกหก ก็ถูกงัดออกมาใช้กับพิธีกรรมดังกล่าวนี้ โดยทางสถาบันชีอะฮฺในไทยตลอดจนเว็บไซต์หนังสือมากมายได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการกระทำพิธีกรรมดังกล่าวของชาวชีอะฮฺทั่วทุกมุมโลกนับล้านคน โดยให้เหตุผลว่าการกระทำพิธีกรรมในแบบดังกล่าวของชีอะฮฺนับล้านคนนั้นเป็นที่ต้องห้าม เพราะปราชญ์ชั้นสูงของโลกชีอะฮฺนามว่า อยาตุลลอฮฺ อะลี ซิสตานี ได้ฟัตวาว่าการตีอกชกหัวเป็นที่ฮะรอม!!!
ภาพของนาย อะลี ซิสตานี
แต่ในขณะเดียวกันเอกสารที่ทำแจกจ่ายกันในประเทศอิรัคอันเป็นประเทศศูนย์กลางของโลกชีอะฮฺ กลับระบุว่าการกระทำพิธีกรรมดังกล่าวนั้นไม่ฮะรอมและเป็นสิ่งที่ประเสริฐด้วยซ้ำไป ซึ่งในเอกสารดังกล่าวได้นำเอาคำฟัตวาของนักปราชญ์ชั้นสูงของโลกชีอะฮฺ 5 คนมารับรองและหนึ่งในนั้นก็กลับมีนายอะลี ซิสตานี ด้วยซ้ำ!!!!!! เอกสารที่ท่านกำลังเห็นด้านล่างนี้คือเอกสารที่ระบุถึงความประเสริฐของการทำพิธีกรรม “มะต่าม” ในวันอาชูรอโดยประมวลคำฟัตวามาจากนักปราชญ์ของลัทธิชีอะฮฺดังต่อไปนี้
(จากซ้ายไปขวา) 1) อิมามซีรอซี 2) อัซซยิดอะลี อัลซิสตานี ๓) อัซซัยยิด อบุลกอซิมอัลคูอี ๔) อัลอิมามุชชัยคฺ มุฮัมมัด ฮุซัยนฺ ๕) อัลอิมามุชชัยคฺ อับดุลกะรีม อัลฮาอิรีย์
ตำราของลัทธิชีอะฮฺที่พร่ำสอนอย่างมากมายถึงความประเสริฐของการทรมานตนเองในพิธีกรรมของวันอาชูรอ
ฟัตวาจากอุลามะอฺชีอะฮฺที่ระบุถึงการตีอกชกหัวและทรมานตัวเองในวันอาชูรออฺว่าเป็นสิ่งที่อนุมัติ




กับเด็กก็ยังไม่เว้น
ภาพเปรียบเทียบระหว่างลัทธิชีอะฮฺกับสัตว์ ในขณะที่สัตว์นั้นปกป้องดูแลลูกๆชองมันจากความเจ็บปวดแต่ลัทธิชีอะฮฺตำกว่าสัตว์กลับทำร้ายลูกของตน
ใครยังดูไม่จุใจดูเพิ่มเติมได้ที่นี้
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ " إِنَّ الدِّينَ يُسْرٌ، وَلَنْ يُشَادَّ الدِّينَ أَحَدٌ إِلاَّ غَلَبَهُ، فَسَدِّدُوا وَقَارِبُوا وَأَبْشِرُوا، وَاسْتَعِينُوا بِالْغَدْوَةِ وَالرَّوْحَةِ وَشَىْءٍ مِنَ الدُّلْجَةِ ".
อบีฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ท่านนบีศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ แท้จริงศาสนา (อิสลาม) นั้นง่าย และจะไม่มี (มุสลิม) คนใดที่จะประสบความยากลำบากเกินความสามารถในการถือปฏิบัติศาสนา นอกจากเขามีความสามารถกระทำได้ ดังนั้นพวกเจ้าจงยืนหยัดบนความถูกต้อง และพยายามใกล้ชิดกับหลักการศาสนาให้มากที่สุด และจงรับข่าวดี (คือรางวัลตอบแทนสำหรับผู้ยืนหยัดในศานา) และจงหมั่นเพียร (ทำอิบาดะห์) ทั้งยามเช้า และยามเย็น และช่วงเวลาหนึ่งในยามค่ำคืน
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم " اثْنَتَانِ فِي النَّاسِ هُمَا بِهِمْ كُفْرٌ الطَّعْنُ فِي النَّسَبِ وَالنِّيَاحَةُ عَلَى الْمَيِّتِ " อบีฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “สิ่งสองประการ ที่ทำให้ผู้คนอยู่ในสภาพปฏิเสธการศรัทธา คือ การใส่ความเกี่ยวกับเชื้อสายวงศ์วานของผู้อื่น และพิธีกรรมคร่ำครวญถึงผู้ตาย”
أَخْبَرَنَا أَبُو عُمَيْسٍ، قَالَ سَمِعْتُ أَبَا صَخْرَةَ، يَذْكُرُ عَنْ عَبْدِ الرَّحْمَنِ بْنِ يَزِيدَ، وَأَبِي، بُرْدَةَ بْنِ أَبِي مُوسَى قَالاَ أُغْمِيَ عَلَى أَبِي مُوسَى وَأَقْبَلَتِ امْرَأَتُهُ أُمُّ عَبْدِ اللَّهِ تَصِيحُ بِرَنَّةٍ . قَالاَ ثُمَّ أَفَاقَ قَالَ أَلَمْ تَعْلَمِي - وَكَانَ يُحَدِّثُهَا - أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ " أَنَا بَرِيءٌ مِمَّنْ حَلَقَ وَسَلَقَ وَخَرَقَ "
อบูอุมัยช์ ได้บอกกับเราโดยกล่าวว่า ฉันเคยได้ยิน อบาศ็อคเราะห์ เล่าจากอับดุรเราะห์มาน บินยะซีด และอบีบุรดะห์ บินอบีมูซา ทั้งสองกล่าวว่า อบูมูซา (เจ็บหนัก) ไม่รู้สึกตัว และอุมมุอับดิลลาห์ ภรรยาของเขาได้รีบมาที่นั่น โดยร้องสะอึกสะอื้นอย่างเสียงดัง ทั้งสองรายงานว่า หลังจากอบูมูซารู้สึกตัวก็กล่าวว่า เธอไม่รู้เลยหรืออย่างไร แล้วเขาก็ให้เธอฟังว่า แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ฉันบริสุทธิ์ (ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง) กับผู้ที่โกนศีรษะ, คร่ำครวญด้วยเสียงดัง, และการฉีกเสื้อผ้า” (ซึ่งเป็นพฤติกรรมของญาฮิลีญะห์เมื่อประสบภัยพิบัติ,มีทุกข์โศก หรือเมื่อมีการตายเกิดขึ้น)
แล้วพวกท่านจะยังปล่อยให้ลัทธิสกปรกเช่นนี้ทำลายอิสลามไปถึงไหน โอ้ มุสลิมจงลุกขึ้นทำสงครามประชาชนกับพวกมันเสียเถิด