วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

ชีอะฮฺ&ยิว เราจะเป็นพันธมิตรกันตราบจนวันตาย

อิบน ซะบาอฺชายชาวยิวกับผู้เป็นกำเนิดลัทธิชีอะฮฺ
อิบนฺ ซะบาอฺเสนอความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺ
อิบนฺ ซะบาอฺรู้จักจิตวิทยาของมนุษย์เป็นอย่างดี และเขายังรู้ว่าเมื่อไรและที่ไหนควรทำอย่างไร เขาเสนอหลักความเชื่อว่าภายหลังท่านศาสดา ศ็อลฯ จากไปแล้ว ท่านอะลี รอฎิฯ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องและเป็นบุตรเขยของท่านนั้นเป็นบุคคลที่ประเสริฐที่สุดเมื่อ เปรียบเทียบกับบรรดาชนชั้นนำทั้งหลายของอิสลามในขณะนั้น เขาเที่ยวสาธยายหะดีษของท่านศาสดา ศ็อลฯ ที่เกี่ยวกับการยกย่องท่านอะลี รอฎิฯ มากมายหลายหะดีษ ในบรรดาหะดีษเหล่านี้มีหะดีษปลอมที่เขากุขึ้นเองก็มากเหมือนกัน เมื่อลูกศิษย์และสมัครพรรคพวกของเขาเกิดความเชื่อในสถานภาพอันสูงส่งขอ งท่านอะลี รอฎิฯ ในฐานะที่เป็นบุคคลที่ประเสริฐที่สุดภายหลังการจากไปของท่านศาสดา ศ็อลฯ แล้ว เขาจึงเสนอหลักความเชื่อใหม่ขึ้นอีกประการหนึ่ง กล่าวว่าศาสดาทุกท่านต่างก็มี " วะซี " (คนสนิท)ด้วยกันทั้งนั้น วะซีผู้นี้คือคนที่รักษาความลับสำคัญๆ ที่ศาสดาแต่ละท่านจะมอบเอาไว้ให้ด้วยความไว้วางใจ วะซีของท่านนบีมูซาได้แก่ท่านยูซะ(โยชัว) บุตรของนูน ส่วนวะซีของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ ได้แก่ท่านอะลี อิบนฺ อบีตอลิบ เขายังเน้นย้ำว่าการมีศรัทธาในหลักความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺนั้นเป็นสิ่งจำเป็น(วายิบ)เป็นอย่างมากเหมือนกับการศรัทธาในหลักเตาฮีดและภาวะศาสดาของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ สำหรับคนที่ด้อยปัญญาและหลอกลวงได้ง่าย เขาจะบอกโดยลับว่า ท่านอะลีมีปาฏิหารย์เหนือมนุษย์ทั้งหลาย ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เขาประกาศว่าท่านอะลีเป็นพระเจ้าที่จุติลงมาเกิด ในหมู่มุสลิมนั้น มีหลายคนที่ไม่พอใจตระกูลบนูอุมัยยะฮฺ และให้การสนับสนุนบนูฮาชิม คนเหล่านี้จึงตอบรับการโฆษณาชวนเชื่อของอิบนฺ ซะบาอฺได้ในฉับพลัน ทั้งๆที่หลายคนของพวกเขาเป็นผู้มีความรู้และมีไหวพริบดี อิบนฺ ซะบาอฺและพลพรรคของเขาได้ทำงานอย่างลับๆ และหลบๆ ซ่อนๆ เพื่อที่จะเผยแพร่แนวความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺและความยิ่งใหญ่ของท่านอะลี รอฎิฯ ในท่ามกลางมุสลิมสมัยนั้นอิบนฺ ซะบาอฺมีความระมัดระวังในการเลือกช่วงเวลาและโอกาสอันเหมาะสมสำหรับปฏิบัติการและป่าวประกาศสิ่งใดก็ตาม เมื่อจำนวนคนที่เชื่อในเรื่องอิมามะฮฺมีเพิ่มมากขึ้น เขาจึงบอกคนเหล่านั้นว่าท่านศาสดา ศ็อลฯ ได้มอบมรดกการสืบต่ออำนาจปกครองแทนท่านให้กับท่านอะลี รอฎิฯ เอาไว้อย่างชัดเจน ดังนั้นท่านอะลี รอฎิฯ จึงเป็นเคาะลีฟะฮฺท่านแรกต่อจากท่านศาสดา ศ็อลฯ และยังเป็นอิมามคนแรกของบรรดามุสลิมทั้งหลาย เขายังเผยแพร่ต่อไปอีกว่าบรรดาเศาะหาบะฮฺ(มิตรสนิท)ของท่านศาสดา ศ็อลฯ จงใจละเลยและไม่นำพาต่อพินัยกรรมของท่านศาสดา ศ็อลฯ เกี่ยวกับการสืบอำนาจผู้นำของท่านอะลี รอฎิฯ นอกจากนี้เขายังป่าวประกาศอีกว่าบรรดาเศาะหาบะฮฺเป็นผู้ฉ้อฉลสิทธิการสืบอำนาจปกครองอันเป็นมรดกของท่านอะลี รอฎิฯ เศาะหาบะฮฺเป็นคนที่หลงไหลในผลประโยชน์และตำแหน่งหน้าที่ทางโลก เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงสมควรได้รับคำประณามหยาบเหยียดเพราะเหตุดังกล่าวนั้น อิบนฺ ซะบาอฺผู้นี้แหละเป็นคนแรกที่เริ่ม " ตะบัรฺเราะฮฺ " (การใส่ร้ายป้ายสีบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านศาสดา ศ็อลฯ) หลังจากนั้นเขาได้ดำเนินตามแผนการร้ายอีกขั้นหนึ่ง กล่าวคือเขาได้ยุยงให้พลพรรคของเขาเปลี่ยนท่านอะลี รอฎิฯ มาดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺแทนที่ท่านอุษมาน รอฎิฯ หนทางที่จะทำให้ท่านอะลี รอฎิฯ ได้ดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺอย่างแน่นอนนั้น อาจจะสำเร็จได้โดยการสร้างความวุ่นวายทางการเมืองขึ้นมา แล้วปลดท่านอุษมาน รอฎิฯ ออกจากตำแหน่ง หรืออาจจะสำเร็จได้โดยการสังหารชีวิตท่าน เขาทำการปลุกปั่นยุยงประชาชนให้ต่อต้านรัฐบาลของท่านอุษมาน รอฎิฯ โดยโจมตีเรื่องการแต่งตั้งมัรวานเป็นเลขาธิการใหญ่ ซึ่งมัรวานเองได้อาศัยอำนาจในตำแหน่งทำการบรรจุคนจากตระกูลเดียวกับตน (บนูอุมัยยะฮฺ)เข้าไปยึดครองตำแหน่งหน้าที่ต่างๆในรัฐบาลจนหมดสิ้น อิบนฺ ซะบาอฺโหมโฆษณาว่า มีการใช้อำนาจบาตรใหญ่และความอยุติธรรมอยู่ทุกหนทุกแห่ง และสถานการณ์เลวร้ายในขณะนั้นเรียกร้องให้ประชาชนก่อการปฏิวัติทฤษฎีอิมามะฮฺทฤษฎี "อิมามะฮฺ" นี้เป็นเรื่องอุปโลกน์ที่อับดุลลอฮฺ บินซะบาอฺเสกสรรปั้นแต่งขึ้นอย่างแท้จริง เขาสร้างมันให้เป็นหลักความเชื่อพื้นฐานสำหรับชาวชีอะฮฺโดยตรง ชีอะฮฺทุกกลุ่มต่างก็ยึดถือทฤษฎีนี้ในฐานะที่เป็นรากฐานของศาสนาของพวกเขา ทั้งๆที่หลักความเชื่อนี้ไม่ปรากฏว่ามีอยู่ในอัล-กุรฺอานหรือในหะดีษของท่านศาสดา ศ็อลฯ ซึ่งเป็นต้นตอของคำสอนต่างๆในอิสลามแต่อย่างใด อัล-กุรฺอานมิได้ให้การสนับสนุนทฤษฎี "อิมามะฮฺ" แม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม อัล-กุรฺอานได้ปฏิเสธทฤษฎีดังกล่าวเสียด้วยซ้ำไป เมื่อไม่พบหลักฐานใดจากอัล-กุรฺอานและหะดีษมาสนับสนุนหลักศรัทธาพื้นฐานของพวกเขา ชาวชีอะฮฺจึงกล่าวหาบรรดาผู้รวบรวมบันทึกอัล-กุรฺอานในยุคต้นว่าทำการดัดแปลงอัล-กุรอาน โดยป้ายสีพวกเขาว่าตัดทอนอายะฮฺต่างๆ ที่สนับสนุนหลักศรัทธาของพวกเขาออกจากอัล-กุรฺอานไปจนหมดสิ้น โดยเฉพาะทฤษฎีอิมามะฮฺ จุดยืนที่บรรดาสาวกของอิบนฺ ซะบาอฺยึดอยู่ได้แก่ การกล่าวว่าอัล-กุรฺอานขนานแท้และดั้งเดิมนั้นมีอยู่ 70,000 อายะฮฺ แต่ถูกตัดทอนลงเหลือเพียง 6,666 อายะฮฺเท่านั้น พวกเขากล่าวหาว่ามีอัล-กุรฺอานมากกว่าครึ่งหนึ่งถูกปิดบังเอาไว้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหาหลักฐานหรือข้อพิสูจน์ใดๆมาสนับสนุนคำกล่าวหา ของตนเองได้ นอกจากการอ้างว่าอิมามอัล-ฆอยบฺ(ผู้หลบซ่อน)หรืออิมามคนที่ 12 ของพวกเขาเป็นผู้เก็บรักษาอัล-กุรฺอานฉบับสมบูรณ์ขนานแท้และดั้งเดิมที่มีอยู่ 70,000 อายะฮฺเอาไว้ และท่านจะมอบอัล-กุรฺอานดังกล่าวคืนให้กับโลกเมื่อท่านได้กลับมาอีกครั้งหนึ่งก่อนวันอวสานของโลกนี้เมื่ออัล-กุรฺอานมิได้สนับสนุนทฤษฎีอิมามะฮฺ ชาวชีอะฮฺจึงกุหะดีษปลอมขึ้นโดยอ้างเท็จให้กับท่านศาสดา ศ็อลฯ ในทำนองว่าหลักความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺถูกสอนให้กับท่านอะลีแต่เพียงผู้เดียว และเป็นไปอย่างเร้นลับเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่จะสนับสนุนความเชื่อของพวกเขา ชาวชีอะฮฺมักจะอ้างอิมามบากิรฺและอิมามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกอยู่เป็นประจำ พวกเขายัดเยียดข้อความต่อไปนี้ว่าเป็นคำพูดของท่านอิมามบากิรฺเกี่ยวกับเรื่องอิมามะฮฺ "อัลลอฮฺ ผู้ทรงสูงส่งทรงบอกความลับเรื่องวิลายะติลลาฮฺ(อำนาจการปกครองของพระเจ้า)ให้ญิบรีล อะลัยฮิสสะลาม รับทราบ แล้วญิบรีลได้บอกความลับเรื่องนี้ให้ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ รับทราบ จากท่านนบี ศ็อลฯ เรื่องนี้ได้รับการถ่ายทอดเป็นความลับต่อไปยังท่านอะลี ซึ่งท่านอะลีได้บอกความลับเรื่องนี้ต่อไปยังบุคคลที่ท่านต้องการ บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่พวกท่าน(ชีอะฮฺ)จะต้องประกาศให้คนทั่วไปได้รับรู้" เรื่องนี้ท่านอิมามบากิรฺจะล่วงรู้หรือไม่ว่ามีการยัดเยียดคำพูดให้กับตัวท่านอย่างไร้ความจริงเกิดขึ้นแล้ว!ขอให้รับทราบกัน ณ บัดนี้เลยว่า ทฤษฎีอิมามะฮฺนั้นเป็นความลับที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีมาโดยตลอด ในหมู่มลาอิกะฮฺ มีเพียงญิบรีล อะลัยฮิสสะลาม เท่านั้นที่ทราบเรื่อง ในบรรดานบีทั้งหลาย มีเพียงนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ เท่านั้นที่ทราบเรื่อง ในท่ามกลางเหล่าเศาะหาบะฮฺ มีเพียงท่านอะลีเท่านั้นที่ทราบเรื่อง แต่จากตำราอ้างอิงที่น่าเชื่อถือทั้งหลาย ท่านอะลีจะบอกความลับเรื่องนี้ให้บุคคลใดรับทราบบ้างนั้น ยังไม่เป็นเรื่องที่รู้กันแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ขอให้เราพยายามมองให้เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ ทฤษฎีอิมามะฮฺนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ ในเมื่อความเชื่อในหลักการข้อนี้เป็นสิ่งจำเป็นหลักของศาสนาสำหรับมวลมนุษยชาติทั้งหลาย แล้วทำไมถึงต้องเก็บเป็นความลับมากขนาดนั้น พิจารณาตามเหตุผลแล้ว จะต้องประกาศเรื่องนี้ออกไปให้คนทั้งหลายได้รับรู้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าโองการอะไรก็ตามที่พระเจ้าประทานลงมาเพื่อมวลมนุษยชาติ โองการนั้นมิใช่จะมุ่งหมายไปยังบุคคลหนึ่งๆเป็นการเฉพาะ หรือคนของชนชั้นใดเป็นพิเศษ ถ้าคำสอนใดก็ตามที่มุ่งหมายเพื่อมนุษยชาติทั้งหลาย แต่กลับมีลักษณะเร้นลับ คำสอนนั้นย่อมจะไม่สมเหตุผล และให้ถือได้เลยว่าคำสอนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า สัจธรรมย่อมจะสมเหตุผลเสมอ สิ่งใดก็ตามที่ดูไร้เหตุผล สิ่งนั้นย่อมเป็นความเท็จตามหนังสือ "มัญจฺมะ บิฮารุล อันวารฺ" บันทึกเอาไว้ว่า ในยามที่ท่านศาสดา ศ็อลฯ จากโลกนี้ไป ขณะนั้นเศาะหาบะฮฺของท่านมีจำนวน 124,000 คน ในหมู่เศาะหาบะฮฺ มีจำนวน 7,500 คนที่เคยนำหะดีษของท่านศาสดา ศ็อลฯ มาใช้อ้างหรือสั่งสอน เรารู้จักพวกเขาในนามของผู้รายงานหะดีษ แต่ไม่มีเศาะหาบะฮฺสักคนเดียวที่รายงานหะดีษเกี่ยวกับทฤษฎีอิมามะฮฺให้เรารับทราบกันชาวชีอะฮฺเชื่อว่าตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺ(ผู้สืบทอดอำนาจการปกครองเหนือบรรดามุสลิม)เป็นสิทธิของอิมามผู้บริสุทธิ์และปราศจากความบาปทั้งมวลเหมือนกับนบีไม่มีผิด การเชื่อฟังอิมามเป็นภาระที่มุสสลิมจะต้องกระทำ อิมามได้รับการแต่งตั้งจากอัลลอฮฺ ศุบหฯ และจากคุณสมบัติดังกล่าวของอิมาม อิมามจึงเป็นเคาะลีฟะฮฺของบรรดามุสลิม แต่ท่านอบูบักรฺ ซิดดีก ท่านอุมัรฺและท่านอุษมาน รอฎิฯล้วนขึ้นสู่ตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺโดยการบัยอะฮฺ(การให้สัตยาบันแสดงการยอมรับในตัวผู้นำ)ของประชาชน สิ่งสำคัญที่ควรจะให้ความสังเกตุ ณ ที่นี้ก็คือว่า ท่านอะลี รอฎิฯ เสนอบัยอะฮฺให้กับเคาะลีฟะฮฺสามคนก่อนหน้าท่าน(คือท่านอบูบักร อุมัรและอุษมาน รอฎิฯ)ด้วยความสมัครใจและจากความยินดี สำหรับชาวชีอะฮฺแล้ว ในบรรดาเคาะลีฟะฮฺสามคนนี้ไม่มีใครสักคนที่บริสุทธิ์และปราศจากบาปเช่นนบีของพระเจ้า ดังนั้นท่านทั้งสามจึงไม่มีความเหมาะสมสำหรับตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺแต่อย่างใดสิ่งที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่งก็คือ ท่านอะลี รอฎิฯ อิมามคนแรกของชาวชีอะฮฺเองไม่เคยกล่าวสักคำว่า เคาะลีฟะฮฺสามคนก่อนหน้าท่านขาดคุณสมบัติในการเป็นเคาะลีฟะฮฺ อีกทั้งท่านยังไม่เคยปฏิเสธที่จะยอมรับภาวะเคาะลีฟะฮฺที่แท้จริงในตัวท่านทั้งสามอีกด้วย ถ้าจะว่ากันตามที่ชาวชีอะฮฺอ้างว่าท่านอะลีรับทราบเกี่ยวกับเรื่องอิมามะฮฺแล้ว ในขณะที่ท่านอบูบักร รอฎิฯได้รับการคัดเลือกให้เป็นเคาะลีฟะฮฺคนแรกของท่านศาสดา ศ็อลฯนั้น ท่านอะลีก็ควรจะประกาศเรื่องนี้ออกไปโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อยเนื่องจากท่านอะลี รอฎิฯยอมรับและเสนอบัยอะฮฺให้กับท่านอบูบักรฺ ท่านอุมัรและท่านอุษมาน รอฎิฯ จึงสรุปได้ว่าท่านไม่เคยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับทฤษฎีนี้เลย หรือไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงเสียด้วย ท่านอาจจะเคยสอนทฤษฎีนี้อย่างน้อยที่สุดให้แก่ผู้ใกล้ชิดที่สุดและเป็นที่รักมากที่สุดในยุคสมัยเดียวกับท่าน แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ทฤษฎีนี้ไม่เคยมีอยู่จนกระทั่งท่านอะลี รอฎิฯได้เป็นเคาะลีฟะฮฺ ส่วนตัวหลักความเชื่อเองถูกอุปโลกน์ขึ้นภายหลังจากนั้นเป็นเวลานานจิตใจที่ฉลาดแกมโกงของอิบนฺ ซะบาอฺกุลัทธิความเชื่อนี้ขึ้นเพื่อจะบ่อนทำลายคำสอนและหลักศรัทธาของอิสลามตรงรากฐาน ลูกศิษย์สาวกและคนสนิทของเขายังอุปโลกน์หะดีษจำนวนมากมายหลายร้อยหะดีษ บางหะดีษยังเป็นการยัดเยียดให้กับท่านศาสดาแห่งอิสลามอย่างผิดๆ รายงานปลอมเหล่านี้ถูกนำมาผสมปนเปกับหะดีษแท้ จนมีชาวสุนนีย์หลายคนหลงไปยอมรับรายงานเก๊พวกนั้น ในระหว่างสมัยของมะมูน อัรฺ-รอชีด อับบาซี มีชายคนหนึ่งอวดอ้างว่าตนเป็นนบี เคาะลีฟะฮฺมีคำสั่งให้ตัดหัวนบีปลอมผู้นั้น คนที่เป็นนบีปลอมกล่าวว่า "ท่านกำลังจะประหารข้าฯ แต่หะดีษจำนวนพันๆรายงานที่ข้าฯ กุมันขึ้นมาอย่างไม่ถูกต้อง และข้าฯได้แพร่กระจายมันออกไปจะยังคงอยู่ต่อไป" ออกจะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสามัญสำนึกและขัดแย้งกับสติปัญญาธรรมดาๆ ถ้าหากว่าหลักความเชื่อสำคัญซึ่งกล่าวกันว่าเป็นรากฐานของศาสนามิได้เป็นที่ รับทราบของบรรดาสาวกและเศาะหาบะฮฺจำนวนพันๆคน เพื่อที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้ดูกระจ่างขึ้น ผู้สนับสนุนหลักความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺจึงสร้างลักษณะอันลี้ลับให้กับเรื่องนี้ ชาวชีอะฮฺคิดว่าพวกเขาสามารถเอาชนะอุปสรรคที่คอยขัดขวางมิให้มุสลิมส่วน ใหญ่ยอมรับหลักความเชื่อดังกล่าว แต่พวกเขาคิดผิดถนัด เพราะคนมีสติที่สนใจในการแสวงหาความจริงย่อมจะปฏิเสธหลักความเชื่อนี้โดยสิ้นเชิง ความเท็จและการทุจริตต่อศาสนาเป็นอาชญากรรมที่มีลักษณะเลวร้ายที่สุด มันไม่สามารถจะซ่อนเร้นอยู่เป็นเวลานานๆอย่างเด็ดขาด ตรงกันข้ามพระเจ้าเองทรงทำให้ความจริงหรือสัจจธรรมเป็นที่รักและหยั่งราก ลึกลงในธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งชิงชังและปฏิเสธความเท็จทั้งมวล ถึงแม้ว่ามันจะถูกซ่อนเร้นกลบเกลื่อนอยู่ก็ตาม ความเท็จนั้นย่อมจะมลายไปในที่สุด หลักความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺมิได้มีที่มาจากอัล-กุรฺอานและหะดีษของท่านศาสดา ศ็อลฯ เป็นเรื่องที่ขาดความเชื่อถือได้ นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นจากจิตใจที่ฉลาดแกมโกงของอิบนฺ ซะบาอฺอย่างแท้จริง
อับดุลลอฮฺ บิน ซะบาอฺ : ที่มาของการใส่ร้ายเศาะหาบะฮฺ
อัน-นุบัคตี ได้เขียนในหนังสือของเขาชื่อ "ฟิรอกุช-ชีอะฮฺ" ว่า บุคคลแรกที่ใส่ร้ายท่านอบูบักร, อุมัรและอุษมานนั้นคืออับดุลลอฮฺ บินสะบาอฺการกล่าวถึงเศาะหาบะฮฺเหล่านั้นในด้านลบ การกล่าวหา การโจมตี การประณามและการใส่ร้ายเศาะหาบะฮฺทั้งสาม(รวมถึงท่านหญิงอาอิชะฮฺ, ฮัฟเซาะฮฺ, ฏ็อลฮะฮฺ, ซุบัยรฺ ฯลฯ) นั้นยังคงมีเหลืออยู่ในคนบางกลุ่มในปัจจุบัน มิหนำซ้ำพวกนี้เชื่อว่า การใส่ร้ายดังกล่าวนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงถึงการศรัทธาที่แท้จริง ผู้ใดไม่ใส่ร้ายและไม่กล่าวหาเคาะลีฟะฮฺทั้งสามถือว่าไม่ใช่สาวกที่ศรัทธามั่นคง ทั้งๆ ที่เคาะลีฟะฮฺทั้งสามเป็นผู้ช่วยเหลือท่านนบีฯ อย่างซื่อสัตย์ และเป็นที่รักใคร่ของท่านนบีฯอับดุลลอฮฺ บินสะบาอฺ เป็นใครอับดุลลอฮฺ บินสะบาอฺ เป็นยิวชาตินิยม-ศาสนานิยมจัด เป็นมุนาฟิกที่อันตรายยิ่ง และเป็นศัตรูของอิสลามที่ทำงานได้ผลพอสมควรอัล-กาซี ได้เขียนไว้ในหนังสือ "ริญาลุล-กาซี" หน้า 100 ว่า : รายงานจากซัยนุล-อาบิดีน อะลี บุตรของหุเซน ได้กล่าวว่า : "หวังว่าอัลลอฮฺทรงละอฺนัต(สาปแช่ง)ผู้ที่กล้ากล่าวเท็จต่อตัวฉัน อับดุลลอฮฺ บินสะบาอฺเป็นบุคคลหนึ่ง ซึ่งเมื่อมีการกล่าวถึง-บุคคลผู้นี้แล้ว-ทำให้ฉันขนลุกทั่วตัว เพราะความน่าเกลียด น่าขยะแขยง เขาได้พูดเรื่องที่ไม่เป็นความจริง หวังว่าอัลลอฮฺทรงละอฺนัตแก่เขา แท้จริง ท่านอะลี รอฎิฯเป็นบ่าวของอัลลอฮฺที่ศอลิหฺ(กัลญาณชน) และเป็นญาติสนิทของท่านนบีฯ ท่านอะลีได้รับเกียรติจากอัลลอฮฺเนื่องจากความเชื่อฟังของท่านต่ออัลลอฮฺ และต่อท่านรสูล และครอบครัวของท่านก็ได้รับเกียรติจากอัลลอฮฺ เนื่องจากความเชื่อฟังต่ออัลลอฮฺและต่อท่านรสูล"
อิบนฺ สะบาอฺเป็นนิทานหรือเป็นเรื่องจริง
ความจริงการดำรงอยู่จริงของอิบนฺ สะบาอฺนี้ได้รับการพิสูจน์โดยนักปราชญ์ของสายชีอะฮฺ และบรรดาอิมามของพวกเขา ถ้าจะแก้ตัวว่าอัล-อัสการีย์ไม่มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของอัล-อะซากิรฺ หรือคนอื่นๆ ก็อาจจะกล้อมแกล้มฟังได้ แต่ถ้าบอกว่าอัล-อัสการีย์ไม่รู้ถึงมรดกของตนเองนั้น ก็เห็นจะต้องยืนยันคำว่า “ชอบที่จะละเลย” ให้หนักแน่นยิ่งขึ้น โดยทั่วไปแล้ว ผู้ค้นคว้าวิจัยระดับคงแก่เรียนนั้น เมื่อจะเขียนผลการวิจัย เขาย่อมต้องทุ่มเวลาให้กับการค้นคว้าตำรับตำราต่างๆ มากเป็นพิเศษ และตำราที่เขาจะละเลยไม่ได้เลย นั่นก็คือตำราที่เป็นมรดกทางวิชาการของตนเองแต่ในบทสำรวจประวัติศาสตร์ของเขา ซึ่งอัล-อัสการีย์อ้างว่ากระทำอย่างละเอียดลออจริงๆ เขากลับไม่พูดถึงตำรับตำราของพวกตนแม้แต่น้อย ข้อเท็จจริงนั้นก็คือ การมีอยู่จริงของอิบนฺ สะบาอฺได้รับการพิสูจน์รับรองโดยหนังสือบันทึกชีวประวัติบุคคลต่างๆ ของชีอะฮฺเกือบทุกเล่ม ดร.สะอฺดีย์ อัล-ฮาชิมีย์ ในหนังสือของเขาชื่อ อิบนฺ สะบาอฺ : หะกีเกาะฮฺ ลา เคาะยาล(หน้า 25-28, มักตะบะฮฺ อัด-ดารฺ, มะดีนะฮฺ ฮ.ศ. 1406) ได้จัดทำบัญชีตำราของชีอะฮฺที่รับรองการมีอยู่จริงของอิบนฺ สะบาอฺได้ถึง 20 รายการด้วยกัน ขอยกตัวอย่างหนึ่งเช่น หนังสืออิคติยารฺ มะอฺริฟัต อัรฺ-ริญาล ซึ่งอบู ญะอฺฟัรฺ อัต-ตูซีย์ได้ปรับปรุงจากผลงานของอบู อัมรฺ อัล-กัชชีย์ ซึ่งเป็นพจนานุกรมประวัติผู้รายงานหะดีษของชีอะฮฺในฮิจเราะฮฺศตวรรษที่ 4ในหนังสือดังกล่าว หัวข้ออิบนฺ สะบาอฺมีข้อมูลยาว 2 หน้า(323-324) ประกอบไปด้วยรายงานต่างๆ กันถึง 5 รายงาน ตรงกับหมายเลข 170-174 ต่อไปนี้เป็นรายนามของอิมามทั้ง 5 ที่เป็นต้นต่อของรายงานเรื่องนี้ : 170 : รายงานโดยอิมามมุฮัมมัด อัล-บากิรฺ 171 : รายงานโดยอิมามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก 172 : รายงานโดยอิมามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก 173 : รายงานโดยอิมามซัยนุล อาบิดีน 174 : รายงานโดยอิมามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก(กรุณาดู อิคติยารฺ มะอฺริฟัต อัรฺ-ริญาล, หน้า 323-324, อัส-ซัยยิด มะฮฺดี อัร-ริญาลีย์, พิมพ์โดยมุอัซสะสะฮฺ อะหฺลุลบัยตฺ, เมืองกุม, ฮ.ศ. 1404) ผู้รายงานในหลักฐานข้างต้นทั้งหมดคือชีอะฮฺ เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะนำสมมุติฐานของอัล-อัสการีย์มาใช้กับรายงานต่างๆ ที่อัล-กัชชีย์เป็นผู้บันทึกไว้ เราคงต้องสรุปว่า ซัยฟฺ อิบนฺ อุมัรมีความเก่งกาจสามารถเป็นอย่างยิ่ง จนถึงกับประสบความสำเร็จในการล่อลวงอิมาม(ผู้ที่เชื่อกันว่าดำรงอยู่ในภาวะมะอฺศูม - ไร้บาปไร้มลทิน)ให้หลงเชื่อว่าอับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺนั้นมีตัวมีตนจริงๆ ทั้งที่นายซัยฟฺ อิบนฺ อุมัรกุมันขึ้นมาจากจินตนาการอันบิดเบี้ยวของเขาแท้ที่จริงแล้ว อิบนฺ สะบาอฺมีบทบาทอันน่าทึ่งอยู่ในประวัติศาสตร์ความแตกแยกของอิสลามเลยทีเดียว เขาเป็นคนแรกที่หว่านเมล็ดพันธ์ของลัทธิแห่งความแปลกแยกนี้ลงในสมัยของท่านอุษมาน รอฎิฯ อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺเองนั่นแหละที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในเรื่องนี้ เพราะเหตุนี้ บรรดาหนังสือตำราที่เขียนโดยชาวสุนนีย์ ชาวชีอะฮฺ และแม้กระทั่งบรรดานักบูรพาคดี(Orientalists)ต่างก็มิได้ละเลยบุคคลผู้นี้แม้แต่น้อย ที่จริงบุคคลเหล่านี้ล้วนอุทิศพื้นที่ดีๆ ในหนังสือของพวกเขาให้กับประวัติของผู้มีนามว่าอิบนฺ สะบาอฺ เนื่องจากประวัติตอนนี้มีความสำคัญในประวัติศาสตร์มิใช่น้อยเลย
อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺในหนังสือของสุนนีย์
อิบนฺ อะษากิรฺได้กล่าวไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของท่านว่า "เมื่อท่านอะลี รอฎิฯ ได้รับเลือกเป็นเคาะลีฟะฮฺ ท่านจึงกล่าวคำปราศรัย อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺได้ยืนขึ้นกล่าวว่า "ท่านเป็นผู้เป็นใหญ่แห่งโลก" ท่านอะลีจึงเตือนว่า "จงยำเกรงอัลลอฮฺ" เขากล่าวอีกว่า "ท่านเป็นกษัตริย์" ท่านอะลีได้เตือนอีกครั้งหนึ่งว่า "จงยำเกรงอัลลอฮฺ" เขายืนยันว่า "ท่านสร้างบรรดาสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย และได้กำหนดส่วนแบ่งของพวกเขา" ด้วยเหตุนี้แหละท่านอะลีจึงได้สั่งให้ประหารเขาเสีย" (จากหนังสือประวัติศาสตร์ของอิบนฺ อะษากิรฺ เล่ม 7 หน้า 430)
อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺในหนังสือของนักบูรพาคดี
หนังสือ "History of The Arabs" หรือ "ประวัติศาสตร์อาหรับ" โดยศาสตราจารย์ นิโคลสัน มีบทหนึ่งเขียนถึงเรื่องชีอะฮฺเป็นการเฉพาะ ความตอนหนึ่งมีอยู่ว่า "อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺเป็นชาวเมืองสะนาอฺ อัล-ยะมัน เขาเข้ารับอิสลามในสมัยการปกครองของอุษมาน ก่อนหน้านี้เขาเป็นยิว บรรดานักประวัติศาสตร์กล่าวว่า เขาเคยไปเยือนดินแดนฮิญาซฺ อัล-บัสเราะฮฺและอัล-กูฟะฮฺ สุดท้ายเขาได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอียิปต์ ที่นี้แหละ เขาได้เริ่มทำการการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับการกลับมายังโลกอีกครั้งหนึ่งของมุฮัมมัดในแบบเดียวกับการกลับมาของพระเยซูคริสต์ เขาอ้างว่าศาสดานั้นมีจำนวนเป็นพัน แต่ละท่านล้วนมีผู้รับมรดกการปกครองคนหนึ่ง และผู้รับมรดกการปกครองของมุฮัมมัดคืออะลี แต่อบูบักร อุมัรและอุษมานได้แย่งชิงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺไปจากอะลี" (หน้า 215)
อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺในหนังสือของชีอะฮฺ
ในบรรดาหนังสือสำคัญๆ ของชีอะฮฺ มีหลายเล่มที่เขียนเกี่ยวกับอับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺเอาไว้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ดังตัวอย่างต่อไปนี้ : อัล-กุลัยนีย์ ปราชญ์ชีอะฮฺผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง ได้กล่าวไว้ในหนังสือ "อัล-กาฟีย์" เล่ม 7 หน้า 257 ว่า "มีคนบางคนมาหาท่านอะมีรุ้ล มุอฺมินีน แล้วกล่าวว่า "ขอความสันติจงมีแด่ท่าน พระผู้เป็นเจ้าของเรา" ท่านจึงสั่งให้พวกเขาเตาบะฮฺ(สำนึกผิดและขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ ศุบหฯ) แต่พวกเขาปฏิเสธ ดังนั้นท่านจึงขุดหลุมขึ้นมาแล้วสุมไฟขึ้น จากนั้นจึงโยนพวกเขาลงไปในหลุมไฟ" อนึ่งอัล-กาฟีย์นี้เป็นหนังสือที่แต่งโดยอัล-กุลัยนีย์ นับเป็นหนังสืออ้างอิงที่สำคัญที่สุดของชาวชีอะฮฺ อิมาม อัล-มุนตะซอรฺหรืออิมามมะฮฺดีของชาวชีอะฮฺได้กล่าวยกย่องหนังสือเล่มนี้ว่า “อัล-กาฟีย์นี้เพียงพอแล้วสำหรับพลพรรค(ชีอะฮฺ)ของเรา"อบูมุฮัมมัด อัล-หะซัน อิบนฺ มูซา อัล-เนาบัคตีย์ ซึ่งถือกันว่าเป็นปราชญ์ชีอะฮฺที่สำคัญคนหนึ่งในศตวรรษที่สาม ได้กล่าวถึงอับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺไว้ในหนังสือของท่านชื่อ “ฟิรอก อัล-ชีอะฮฺ" ความตอนหนึ่งท่านกล่าวว่า : "อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ให้ร้ายอบูบักร, อุมัร, อุษมาน และเศาะหาบะฮฺคนอื่นๆ และยังปฏิเสธความสัมพันธ์กับบุคคลเหล่านั้น เขาอ้างว่าท่านอะลี อะลัยฮิสสะลาม นั่นแหละที่ใช้ให้เขาทำเช่นนั้น ท่านอะลี อะลัยฮิสสะลาม จับกุมเขา และขอให้เขาอธิบายพฤติกรรมของเขา เขายอมรับความผิด ท่านอะลีมีคำสั่งให้ประหารเขาเสีย ประชาชนพากันร่ำร้องว่า “โอ้ท่านอมีรุ้ลมุอฺมินีน! ท่านจะเด็ดชีพของบุรุษที่เชิญชวน(ผู้คนทั้งหลาย)ให้รักท่านและอะหฺลุลบัยตฺ และเรียกร้อง(ประชาชน)ไปสู่วิลายะฮฺของท่าน แถมยังตัดความสัมพันธ์กับเหล่าศัตรูของท่านได้อย่างไร" ดังนั้นเขา(ท่านอะลี)จึงเนรเทศเขา(อิบนฺ สะบาอฺ)ไปยังเมืองมะดาอิน(หรือเมืองเซสิโฟน - เมืองหลงของจักรวรรดิ์เปอร์เซียในครั้งกระนั้น) ผู้ทรงความรู้บางคนจากกลุ่มผู้ติดตามท่านอะลี อะลัยฮิสสะลาม กล่าวว่า อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺเป็นชาวยะฮูดีที่มาเข้ารับอิสลามและเกาะติดท่านอะลี อะลัยฮิสสะลาม เมื่อครั้งที่ยังนับถือศาสนายูดาย เขาเคยอ้างว่า ยูชะอฺ(โยชัว) บิน นูน เป็นวะซีย์(ผู้สืบทอดอำนาจ)ของท่านนบีมูซา ภายหลังเมื่อเขาได้เข้ารับอิสลามแล้ว หลังจากท่านนบี ศ็อลฯ วายชนม์ไปแล้ว เขาถือว่าท่านอะลี อะลัยฮิสสะลาม มีฐานะเช่นเดียวกับยูชะอฺ อิบนฺ สะบาอฺเป็นคนแรกที่ประกาศอิมามะฮฺของท่านอะลี อะลัยฮิสสะลาม เขาตัดความสัมพันธ์กับศัตรูของท่าน และประกาศว่าคนเหล่านั้นเป็นฝ่ายปรปักษ์ของเขา เพราะเหตุนี้ บรรดาผู้ที่ต่อต้านชีอะฮฺจึงกล่าวว่า ชีอะฮฺและและรอฟิเฎาะฮฺมีกำเนิดมาจากศาสนายูดาย""ขณะที่อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺอยู่ที่เมืองมะดาอิน ข่าวมรณกรรมของท่านอะลีมาถึงหูของเขา เขาพูดกับผู้ป่าวประกาศข่าวดังกล่าวว่า "ท่านโกหก ถ้าท่านนำศีรษะของเขาใส่ถุงมาถึง 70 ใบ และนำคน 70 คนมาเป็นพยานยืนยันมรณกรรมของเขา เรายังคงจะยืนยันว่า เขายังไม่ตาย เขาไม่ได้ถูกสังหาร และเขาจะยังไม่ตายจนกว่าจะได้ปกครองทั่วหน้าพิภพนี้" (กรุณาดูอัล-เนาบัคตีย์, ฟิรอก อัล-ชีอะฮฺ, พิมพ์โดยฮัยดารียะฮฺ เพรส, นะญัฟ ฮ.ศ. 1379/1959, หน้า 43, 44)
เราได้อ่านพอสมควรแล้วว่า ชายชาวยิวผู้นี้เป็นต้นกำเนิดของลัทธิชีอะฮฺ เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างชีอะฮฺกับยิวจึงมีมาตลอดจนถึงทุกวันนี้

ต่อไปนี้ คือ สิ่งที่คุณ อัล-อัซฮะรีย์ ได้เคยนำเสนอ การที่เราจะมาเปรียบเทียบคำสอนต่าง ๆระหว่างยิวและชีอะฮฺนั้น เราสมควรที่จะทำความรู้จักคำภีร์ ตัลมูต ซึ่งเป็นคำภีร์ที่พวกยิวทั่ว โลกยึดคำสอนต่าง ๆจากคำภีร์นี้และพวกเขาเชื่อว่า คำภีร์ตัลมูตนี้ เป็นคำภร์ที่ถูกประทานลงมาจากฟากฟ้า พวกเขามีความเห็นว่า อัลเลาะฮฺทรงประทานคำภีร์เตารอตให้แด่นบีมูซา(อ.) ณ (ภูเขา)ตูรซีนีนโดยการบันทึก แต่อัลเลาะฮฺทรงประทานคำภีร์ตัลมูตแก่นบีมูซาด้วยคำตรัสของพระอ งค์เอง ไม่เพียงเท่านั้น พวกยิวยังถือว่าคำภีร์ตัลมูตนี้มีฐานันดรที่สูงส่งกว่าคำภีร์เต ารอตเสียอีก คำภีร์ตัลมูตมีอยู่ 6000 หน้าด้วยกัน ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " ผู้ที่ใดที่ดูหมิ่นคำกล่าวต่าง ๆของบรรดาบาตรหลวงแล้ว เขาสมควรตาย โดยผู้ที่ดูหมิ่นคำภีร์เตารอตนั้นไม่สมควรตาย และย่อมไม่รอดพ้นปลอดภัยสำหรับผู้ที่ละทิ้งคำสอนของคำภีร์ตัลมู ตโดยที่ให้ความสนใจในคำภีร์เตาร๊อตเพียงอย่างเดียว เพราะคำกล่าวต่าง ๆของนักปราชน์คำภีร์ตัลมูตนั้น ย่อมประเสริฐกว่าสิ่งที่มีอยู่ในชาริอัตของมูซา (ดู อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด ฟีตะอาลีม อัตตัลมูต หน้า44 ของท่านมูซา นัสรุลลอฮฺ ) บาตรหลวงยิวท่านหนึ่งกล่าวว่า " ชาวยิวจะคงอยู่ด้วยสาเหตุการมีคำภีร์ตัลมูต ตราบใดที่คำภีร์ตัลมูตยังคงอยู่ในชาวยิว" ( อัตตัลมูต ชะรีอะฮฺ บนีอิสรออีล หน้า 12 )ดังกล่าวนี้คือแนวคิดของพวกยิวที่มีต่อคำภีร์ตัลมูต แต่เราลองมาดูแนวคิดของพวกชีอะฮฺอิมาม 12 ที่มีต่อคำสอนต่าง ๆของบรรดาอิมามของพวกเขาว่าเป็นอย่างไร ท่านโคมัยนีย์ กล่าวเอาไว้ว่า " แท้จริง คำสอนต่าง ๆของบรรดาอิมามนั้น เสมือนกับคำสอนต่าง ๆของคำภีร์อัลกุรอาน ที่ไม่ได้เฉพาะแก่ชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ทว่ามันเป็นคำสอนให้กับประชาชาติทั้งหมดในทุกยุคทุกสมัยและท ุกเมือง จนถึงวันกิยามะฮฺ " อัลฮุกูมะฮฺ อัลอิสลามียะฮฺ หน้า 112 เชคฺมุฮัมมัด ริฏอ อัลมุซฺ๊อฟฟัร กล่าวว่า " คำสั่งใช้ของบรรดาอิมามคือคำสั่งใช้ของอัลเลาะฮฺ การห้ามของพวกเขาคือการห้ามของอัลเลาะฮฺ การภักดีของพวกเขาคือการภักดีของอัลเลาะฮฺ และการฝ่าฝืนพวกเขาคือการฝ่าฝืนของอัลเลาะฮฺ......และไม่อนุญาติให้คัดค้านพวกเขา เพราะผู้ที่คัดค้านพวกเขาเสมือนการคัดค้านร่อซูลุลลอฮฺและการคั ดค้านร่อซูลุลลอฮฺเสมือนกับการคัดค้านอัลเลาะฮฺ " อะกออิด อัลอิมามียะฮฺ หน้า106

เมื่อเรารู้ถึงแนวคิดต่าง ๆของพวกเขาแล้ว เราก็ลองมาเปรียบเทียบระหว่างแนวทางของยิวและชีอะฮฺกันครับ

พวกยิว เชื่อว่า ศาสนาของพวกเขายังไม่สมบูรณ์ นอกจาก ต้องอ่านคำสอนต่าง ๆของเตาร๊อต มินชาและ ฆอมาร่า ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " โอ้ลูกเอ๋ย เจ้าจงให้ความสนใจคำสอนต่าง ๆของบรรดาปราชน์บาทหลวงให้มากกว่าคำสอนต่าง ๆของกฏหมายของมูซา " (อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า 45) กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตเช่นกันว่า " แท้จริง ผู้ใดที่ศึกษาเตาร๊อต เขาย่อมปฏิบัติความดีงามหนึ่งที่ไม่สมควรที่จะได้รับการตอบแทนใ ด ๆ และผู้ใดที่ศึกษา มันชา เขาย่อมปฏิบัติความดีงามหนึ่งที่สมควรได้รับการตอบแทนรางวัล และผู้ใดที่ศึกษา ฆอมาร่า เขาย่อมปฏิบัติความดีงามหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ " (อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า44) กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตเช่นเดียวกันว่า " เตาร๊อต เปรียบเสมือนน้ำ มันชาเปรียบเสมือนไวน์ และฆอมาร่าเปรียบเสมือนไวน์ที่หอมหวน โดยที่มนุษย์ยังต้องการคำภีร์ทั้งสามนี้" (อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า45)

พวกชีอะฮฺอิมามียะฮฺ เชื่อว่า "อิสลามจะยังไม่สมบูรณ์ด้วยกับสารของท่านนบี(ซ.ล.) แต่จำเป็นต้องเสริมคำสอนต่าง ๆของท่านอลีและท่านฮุเซน ท่านฮะซัน อัชชีรอซีย์ กล่าวว่า " เสมือนกับว่า ศักยาภาพอิสลามนั้น ยังต้องการความทุ่มเทของมุฮัมมัด อลีและอัลฮุเซน จนกระทั้งมันได้ดำรงอยู่ได้ เช่นเดียวกัน อิสลามยังคงไม่สมบูรณ์ในหัวใจดวงหนึ่ง ที่ไม่มีมุฮัมมัด อลีและอัลฮุเซนพร้อมๆกัน เพราะคำสอนต่าง ๆของมุฮัมมัดนั้น เป็นคำสอนในเชิงกำหนดคำสั่งขึ้นมา คำสอนของอลีนั้นในเชิงปฏิบัติอบรมสั่งสอน และคำสอนของอัลฮุเซนนั้นในเชิงของมาตราวัด เมื่อทั้งสามองค์ประกอบนี้ไม่เกิดขึ้น อิสลามก็ปรากฏให้มีขึ้นมาไม่ได้ " ( ดู อัชชะอาอิร อัลฮุซัยนียะฮฺ หน้า 12 )

พวกยิวอ้างว่า " บรรดาบาทหลวงของพวกเขานั้น ประเสริฐกว่า บรรดานบี ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " ท่านพึงทราบเถิด แท้จริงคำกล่าวต่าง ๆของบรรดาบาทหลวงนั้นย่อมประเสริฐกว่าคำกล่าวของบรรดานบี" อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า 46

พวกชีอะฮฺอิมามียะฮฺ เชื่อว่า "บรรดาอิมามของพวกเขานั้นย่อมประเสริฐกว่าบรรดานบี ความเลยเถิดของพวกเขานั้น ได้วางบรรดาอิมามของพวกเขา ให้มีฐานันดรที่ประเสริฐกว่าบรรดานบี ร่อซูลและมวลมะลาอิกะฮฺผู้ใกล้ชิดอัลเลาะฮฺ อัล-ฮุร อัล-อามิลีย์ กล่าวว่า " บรรดาอิมาม 12 นั้น มีความประเสริฐกว่าบรรดามัคโลคทั้งหลาย จากบรรดานบี บรรดาผู้ได้รับการสั่งเสียสืบทอด บรรดามะลาอิกะฮฺและอื่น ๆ " อัล-ฟุซูล อัล-มุฮิมมะฮฺ หน้า152 โคมัยนีย์กล่าวว่า " แท้จริง ให้กับอิมามนั้น มีตำแหน่งที่ได้รับการสรรญเสริญ และฐานันดรที่สูงส่ง และการสืบทอดที่ได้เกิดขึ้นมานี้ ทั้งหมดของธุลีแห่งจักรวาล ได้น้อมแด่อำนาจและการปกครองของมัน และแท้จริง ส่วนหนึ่งจากบรรดาสิ่งจำเป็นต่าง ๆจากแนวทางของเรา คือให้กับบรรดาอิมามของเรานั้น มีตำแหน่ง ที่มะลาอิกะฮฺผู้ใกล้ชิดและนบีที่ถูกส่งมานั้น ไม่สามารถไปถึงได้ " อัล-ฮุกูมะฮฺ อัล-อิสลามียะฮฺ หน้า 52 ท่านอัซซุดูก ได้กล่าวรายงานจากท่านร่อซูลุลอฮฺ(ซ.ล.) ท่านกล่าวว่า "แท้จริงอลีคือมนุษย์ที่ประเสริฐสุด และผู้ใดปฏิเสธ เขาย่อมกุฟุร " อะมาลี อัส-ซุดูก หน้า71

พวกยิว เชื่อว่า บรรดาบาทหลวงของพวกเขานั้นได้รับการคุ้มครองจากความผิด บาทหลวงรุสกี้ หนึ่งจากผู้บันทึกคำภีร์ตัลมูต ได้กล่าววิจารณ์ถึงการขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสองบาทหลวงว่า "แท้จริง บาทหลวงทั้งสองนี้ ได้กล่าวสิ่งสัจจะธรรมเพราะพระเจ้าได้ทำให้บาทหลวงทั้งสองนี้ ได้รับการคุ้มครองจากความผิด " อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า47

พวกชีอะฮ์อิมามียะฮฺ เชื่อว่า บรรดาอิมามของพวกเขานั้น มะซูม ได้รับการคุ้มครองจากความผิด อัซ-ซันญะนีย์ ได้กล่าวจาก อัศศ่อดูกว่า " การศรัทธาเชื่อของเรา ในบรรดานบี ร่อซูล และบรรดาอิมามนั้น พวกเขาได้รับการคุ้มครองจากความผิด พวกเขาสะอาดจากทุกสิ่งโสมม " อะกออิด อัล-อิษนาอะชัร เล่ม 2 หน้า157 เชคฺมะฮัมมัด ริฏอ อัล-มุซ๊อฟฟัร กล่าวว่า " เราเชื่อมั่นว่า อิมามเสมือนกับนบี จำเป็นต้องมะซูม ได้รับความคุ้มครองจากความผิด" อะกออิด อัล-อิมามียะฮฺ หน้า104

พวกยิวเชื่อว่า คำสอนต่าง ๆของบรรดาบาตรหลวงนั้นเหมือนกับชาริอัตของนบีมูซา ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " จำเป็นกับท่าน โดยการพิจารณาคำกล่าวต่าง ๆของบรรดาบาทหลวงนั้น เสมือนกับเตาร๊อต " อัล-กันซฺ อัล-อัรซูด หน้า45

พวกชีอะฮฺ เชื่อว่า คำสอนต่าง ๆของบรรดาอิมามนั้น เหมือนกับอัลกุรอาน โคมัยนย์กล่าวว่า "แท้จริง คำสอนต่าง ๆของบรรดาอิมามนั้น เสมือนกับคำสอนต่าง ๆของคำภีร์อัลกุรอาน ที่ไม่ได้เฉพาะแก่ชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง " อัลฮุกูมะฮฺ อัลอิสลามียะฮฺ หน้า 112

พวกยิว เชื่อว่า ผู้ที่โต้เถียงกับบาตรหลวงนั้น เหมือนกับการโต้เถียงกับอัลเลาะฮฺ ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " ผู้ที่ใดที่โต้เถียงกับบาตรหลวง หรือบาทหลวงผู้สั่งสอน เขาย่อมทำผิด และเสมือนกับว่าเขาได้โต้เถียงกับความเกรียงไกรแห่งพระผู้เป็นเ จ้า " อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า46

พวกชีอะฮฺ เชื่อมั่นว่า ผู้ที่คัดค้านต่อบรรดาอิมามนั้น เสมือนกับการคัดค้านต่ออัลเลาะฮฺ เชคฺมุฮัมมัด ริฏอ อัลมุซฺ๊อฟฟัร กล่าวว่า " คำสั่งใช้ของบรรดาอิมามคือคำสั่งใช้ของอัลเลาะฮฺ การห้ามของพวกเขาคือการห้ามของอัลเลาะฮฺ การภักดีของพวกเขาคือการภักดีของอัลเลาะฮฺ และการฝ่าฝืนพวกเขาคือการฝ่าฝืนของอัลเลาะฮฺ......และไม่อนุญาติให้คัดค้านพวกเขา เพราะผู้ที่คัดค้านพวกเขาเสมือนการคัดค้านร่อซูลุลลอฮฺและการคั ดค้านร่อซูลุลลอฮฺเสมือนกับการคัดค้านอัลเลาะฮฺ " อะกออิด อัลอิมามียะฮฺ หน้า106

พวกยิวอ้างว่า บรรดาบาตรหลวงผู้ใกล้ชิดพระเจ้านั้น คือผู้ที่สั่งสอนบรรดาผู้ประพฤติดีที่อยู่บนฟากฟ้า ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์ตัลมูตว่า " แท้จริงบาทหลวงผู้ใกล้ชิดพระเจ้าน้นคือผู้ที่มาสั่งสอนบรรดาผู้ ประพฤติดีที่อยู่บนฟากฟ้า " ฮะมะญียะอฺ อัตตะอะลี อัซซียานียะฮฺ หน้า25

พวกชีอะฮฺ อ้างว่า" บรรดาอิมามของพวกเขานั้นคือผู้ที่สอนเตาฮีดแก่บรรดามะลาอิกะฮฺ พวกเขาได้รายงานถึงท่านร่อซูล(ซ.ล.) ท่านกล่าวแก่อลีว่า "....หลังจากที่พระองค์ทรงสร้างมะลาอิกะฮฺ ดังนั้นในขณะที่พวกเขาได้เห็นบรรดาวิญญานของเราที่เป็นรัศมีและ พวกเขาก็ให้ความสำคัญแก่เรื่องราวเกี่ยวกับเรา ดังนั้นอัลเลาะฮฺก็ให้เราทำการกล่าวตัสบีฮฺ เพื่อเราได้สอนแก่มวงมะลาอิกะฮฺว่า เรานั้นคือมัคโลค และพระองค์นั้นทรงบริสุทธิ์จากคุณลักษณะต่าง ๆของเรา ดังนั้นบรรดามะลาอิกะฮฺก็ได้ทำการกล่าวตัสบีฮฺอันเนื่องจากเราไ ด้กล่าวตัสบีฮฺและพระองค์ก็บริสุทธิ์จากคุณลักษณะต่างๆของเรา ... ดังนั้น ด้วยกับเรา พวกมะลาอิกะฮฺจึงได้รับทางนำไปยังการรู้จักการเตาฮีดของอัลเลาะ ฮฺ การตัสบีฮฺ การตะฮฺลีล และการตะหฺมีดต่อพระองค์" ดู อิลัล อัล-ชะรอเอี๊ยะ หน้า5
ภาพการประชุมสัมนาระหว่างอุลามะอฺลัทธิชีอะฮฺกับบาทหลวงยิว ในกรุงเบรุตประเทศเลบานอนในช่วงปลายทศวรรษที่ 19



รู้ไหมว่าลัทธิชีอะฮฺเผยแพร่ได้ด้วยเงิน แล้วถามว่าชีอะฮฺเอาเงินจากไหน ลำพังอิหร่านประเทศเดียวงบไม่พอแจกจ่ายหรอก ภาพเหล่านี้ยืนยันได้ชัดเจนว่าชีอะฮฺและอิหร่านรับเงินจากยิวที่คุมเศรษฐกิจโลกเพื่อการเผยแพร่ศาสนาของตน


เราจะร่วมมือกันน้า ยิวจ๋า!!!!



มิตรภาพระหว่างเราจะมีตราบจนวันตาย



อุลามะอฺชีอะฮิกับรับไบชาวยิว



กับยิวกับคริสต์เราคือพี่น้องกันนะ



การประชุมที่อิหร่านเมื่อปี 1997 โดยยิวมอบเงินให้อิหร่านในการเผยแพร่ลัทธิของตน



มีการนำสาวๆชาวยิว(สวยซะด้วย)มาร้องเพลงขับขานเอาใจอุลามะอฺชีอะฮฺด้วย ในภาพคนที่นั่งหันหลังคือ อิมามคอตามีของชีอะฮฺ (หมอนี้อีกแล้วทุกงานเลย กรุณากลับไปดูหัวข้อการมุตอะฮฺ)


รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนยิว จะเกิดชาติไหนๆ ก็อากีดะฮฺเดียวกัน


ร่วมมือกันไว้




แหมๆๆ ไหนล่ะพ่อโคใช่มั๊ยนี่ ที่เคยประกาศกู่ก้องโลกว่าจะต่อสู้กับยิว จะขับไล่ยิวออกจากอิสราเอล ประชุมที่ภาพคุณพี่หราออกขนาดนั้น ยิวคงนับถือท่านมากสินะ





พ่อขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะพ่อชีอะฮฺ


ด้านหลังคือมัสยิดในอิหร่านกับชาวยิว




เฮ้ยพวกมึง รู้ไหมใครลูกพี่กู ภาพข้างหลังกูนี่ ลูกพี่ตัวจริงกู





เรารักนายนะยิว


เราก็รักนายนะชีอะฮฺ





จูบกันนะ รักที่สุดแล้ว

เมื่อสองผู้ยิ่งใหญ่จากสองลัทธิมาเจอกัน นี่เหรอโคไมนี่ของชีอะฮฺที่เคยประกาศตัวจะไล่ยิวออกจากแผ่นดินอาหรับ

ภาพนี้ชัดเจนเลย คนซ้ายคือผู้นำยิวสาขามุสกีโตนามว่า รับไบแคลมิน กับโคไมนี่ที่ชีอะฮฺภาคภูมิใจสะท้อนความเป็นมิตรภาพระหว่างชีอะฮฺกับยิวตราบจนวันตาย






แน่นอนเจ้าจะพบว่า หมู่ชนที่เป็นศัตรูอันรุนแรงแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธานั้นคือชาวยิว และบรรดาผู้ที่ให้มีภาคีแก่อัลลอฮ์(*1*) และแน่นอนเจ้าจะพบว่า บรรดาผู้ที่มีความรักใคร่แก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาใกล้กว่า(*2*) พวกเขา(*3*)นั้นคือ บรรดาผู้ที่กล่าวว่าแท้จริงพวกเราเป็นคริสต์ นั่นก็เพราะว่า ในหมู่พวกเขานั้นมีบรรดานักปราชญ์ และบาดหลวงและก็เพราะว่าพวกเขาไม่เย่อหยิ่ง
(1) หมายถึงพวกมุชริก และพวกกาเฟรทั่ว ๆ ไปนอกเหนือจากพวกอะฮ์ลุลกิตาบ (2) คือใกล้กว่าพวกยิว และพวกมุชริก (3) คือใกล้กว่าพวกยิวและพวกมุชริก




ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงอย่าได้ยึดเอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็นมิตร บางส่วนของพวกเขาคือมิตรของอีกบางส่วน(*1*) และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเอาพวกเขามาเป็นมิตรแล้วไซร้ แน่นอนผู้นั้นก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม
(1) คือยิวนั้นต่างรักใคร่ซึ่งกันและกัน และคริสต์เช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกันทั้งหมดนั้นเป็นศัตรูของมุสลิมีน ด้วยเหตุนี้ถ้าคบพวกเขาเป็นมิตรแล้วพวกเขาก็ย่อมจะล่วงรู้ในความเร้นลับอขงฝ่ายมุสลิม แล้วรายงานให้พวกเขาทราบ และอีกประการหนึ่ง ยิวกับคริสต์นั้นแม้ว่าพวกเขาจะไม่ศรัทธาต่อนะบีของกันและกัน แต่พวกเขาก็ให้ความช่วยเหลือกันในการเป็นศัตรูกับมุสลิม ดังนั้นในสองพวกนี้จึงไม่เป็นที่ไว้วางใจแก่มุสลิมีนได้

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552

ในสังคมนิยมมุตอะฮฺก็งี้แหละ

เมื่อวันก่อนผมได้มีโอกาสพูดคุยกับรุ่นพี่มุสลิมะฮฺที่เคารพท่านหนึ่ง(ขอสงวนชื่อ) ซึ่งเธอเป็นสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่ม บะนาตุลฮูดา (เว็บไซต์บ้านมุสลิมะฮฺ) รุ่นพี่ท่านนี้เป็นคนที่อยู่ในหลักการของศาสนาและผ่านการทดสอบจากพระองค์อัลลอฮฺมามากมาย ตั้งแต่การถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยเพราะการยืนหยัดในการสวมใส่ฮิญาบ แต่บททดสอบประการสำคัญที่รุ่นพี่ท่านนี้ได้ประสบพอเจอล่าสุดและเล่นเอาผมละเหี่ยใจคละเคล้าไปด้วยความรู้สึกสมเพทใน "ไอ้ซกมกแอบจิต" ตัวนั้นก็คือ รุ่นพี่มุสลิมะฮฺท่านนี้ถูกชายหนุ่มผู้นับถือในมัสฮับรอฟิเดาะฮฺหรือลัทธิชีอะฮฺตามจีบอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ว่าจะเป็นมาเฝ้าหน้าที่ทำงาน ตามตื้อสืบข้อมูลมุสลิมะฮฺท่านนี้ จนถึงขนาดมาแอบถ่ายรูปเก็บไว้ด้วย!!! เมื่อมุสลิมะฮฺท่านนี้ทำทีไม่สนใจ ไอ้ซกมกแอบจิตชีอะฮฺรายนี้ก็ถึงขั้นส่งภาพวาดของท่าน ฮุเซน(รอฎิฯ) ในแบบจิตนาการของชีอะฮฺก็คือ ประเภทแบบหัวขาดเลือดสาดกระจุยดังภาพด้านล่างนี้พร้อมกับบอกว่าถ้าไม่ตอบรับการเรียกร้อจะเป็นแบบนี้ ซึ่งน่าชมเชยรุ่นพี่มุสลิมะฮฺท่านนี้ที่หาได้เกรงกลัวคำขู่ของมันไม่

อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นว่ารุ่นพี่มุสลิมะฮฺท่านนี้เข้มแข็งพอและไม่ยอมโอนอ่อนไปกับคำขู่ ชายชีอะฮฺคนนี้ก็ได้เปลี่ยนท่าทีไปและได้ยื่นข้อเสนอที่ “กวนส้นตีน” คนรักอะฮฺลุลบัยตฺ ตัวจริง นั่นก็คือ จะขอเล่นมุตอะฮฺกับรุ่นพี่มุสลิมะฮฺของผม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!(การเล่นมุตอะฮฺหมายถึง การแต่งงานชั่วคราวที่กำหนดระยะเวลาไว้ เช่น วันเดียว หรือสองวัน ภายหลังระยะเวลาที่กำหนดได้หมดลงไปความเป็นสามีภรรยาก็สิ้นสุดด้วย) แถมยังสำรอกออกมาอย่างน่าเกลียดอีกว่าการเล่นมุตอะฮฺในครั้งนี้จะไม่มีพันธะใดๆติดตามมา อุแหม่ นี่เดี๋ยวนี้ชีอะฮฺมันอุตริถึงขนาดจะนำเอาวัฒนธรรมอันโสโครกของพวกมันมาปรับใช้กับมุสลิมะฮฺของเราแล้วรึนี่ แบบนี้มันต้องเขกกะบาลฝากไปยังลูกพี่มันที่สถานทูตอิหร่าน ตอลดจนนายซัยยิดปลอมคนนั้นด้วย ว่านี่หรือคำสอนของพวกมึง!!!เห็นมุสลิมะฮฺของเราเป็นแค่โสเภณีได้ไง !!

สำหรับผมแล้ว เรื่องดังกล่าวนี้แม้จะน่าเศร้าใจและชิงชังแค่ไหน แต่ผมก็เข้าใจว่าความกระเหี้ยนกระหือรือที่อยากจะเล่นมุตอะฮฺของชายชีอะฮฺซกมกแอบจิตคนนั้นกับมุสลิมะฮฺของเรา มันถูกกระตุ้นมาจากหลักคำสอนของชีอะฮฺที่ว่าการเล่นมุตอะฮฺได้ผลบุญมหาศาล ซึ่งจะขอยกตัวอย่างคำสอนดังกล่าวนั้นมาให้ดูกัน

قل النبي صلي الله عليه وسلم من تمتع مرة فد رجته كد رجة الحسين ومن تمتع مر تين فد رجته كد رجة الحسن ومن تمتع ثلاث مرات فدرجته كدرجة تاعلي ومن تمتع اربع مرات درجته كدرجتي
ผู้ใดก็ตามที่เล่นมุตอะฮฺจนสำเร็จแม้แค่ครั้งเดียว ตำแหน่งของเขาจะเท่าเทียมกับท่านฮุเซน และใครที่เล่นมุตอะฮฺสองครั้งตำแหน่งของเขาจะเท่าเทียมกับฮะซัน และเช่นนั้นแหละ บุคคลที่เล่นมุตอะฮฺสามครั้ง เขาได้ไปถึงตำแหน่งของท่านอะลี และใครก็ตามที่เล่นมุตอะฮฺครั้งที่สี่เขาย่อมไปถึงตำแหน่งของท่านนบี
อัลกาฟี เล่ม 2 หน้า 217 สำนักพิมพ์ ดารอัลกุฏฏุบ อัลอิสลามียะฮฺ เตหะราน
หากเรายังจำได้สักเมื่อสิบปีก่อน ทางรัฐบาลได้ประสบปัญหาทางด้านความสัมพันธ์กับสถานทูตอิหร่าน เพราะเรื่องมุตอะฮฺนี้เช่นกัน ปัญหาดังกล่าวนี้เริ่มมาจากชายชาวอิหร่านที่นิยมมาเที่ยวในประเทศไทย มักจะมาเล่นมุตอะฮฺฝากราคีไว้กับหญิงไทย ภายหลังจากเสร็จสิ้นอารมณ์หมายก็เผ่นกลับประเทศไป ทิ้งให้หญิงไทยนับร้อยต้องวุ่นเพราะลูกที่เกิดมาจากการเล่นมุตอะฮฺนั้นไม่มีพ่อ ลำบากเอารัฐบาลไทยต้องประสานกับทางสถานทูตอิหร่านกันจ้าละหวั่น
แต่เรื่องราวการเล่นมุตอะฮฺที่ดังกระโฉดไปทั่วโลก(และคงจะเป็นแบบอย่างแก่ชายชีอะฮฺทั่วโลกทุกคน) ก็คือการเล่นมุตอะฮฺของมหาบุรุษที่โลกชีอะฮฺยกย่อง บิดาของชาวชีอะฮฺและชายผู้ปฏิวัติอิหร่าน ใช่แล้ว มันคือ โคไมนี่!!!! และที่น่าทึ่งไปใหญ่ก็คือ การเล่นมุตอะฮฺของโคไมนี่นั้นทำกับเด็กน้อยอายุเพียง 6 ขวบเท่านั้น!!!(หรือบางกระแสบอกว่ามากกว่านั้นแต่ไม่เกิน 10 ขวบ)
ภาพของโคไมนี่ ผู้เล่นมุตอะฮฺกับเด็ก 6 ขวบ

สิ่งที่กล่าวมานี้หาใช่การใส่ร้ายใส่ไคล้แต่อย่างใดแต่เป็นเรื่องที่ถูกเปิดเผยจากคนสนิทของโคไมนี่เอง คือ ท่านอัซซัยยิด ฮุซัยนฺ อัลมูเซาวีย์ ผ่านหนังสือที่ท่านเขียนอุทิศไว้ก่อนตายคือ لله .. ثم للتاريخ (เพื่ออัลลอฮฺและเพื่อประวัติศาสตร์)
เรื่องราวดังกล่าวนั้นเริ่มขึ้นจาก พฤติกรรมอันต่ำช้าของโคไมนี่ซึ่งท่าน ซัยยิดฮุซัยนฺ อัลมูเซาวีย์ ได้เล่าไว้ว่า ทุกๆครั้งที่โคไมนี่จะไปเยี่ยมเยียนประชาชนชาวอิหร่านตามหมู่บ้านและชนบทต่างๆ ชาวอิหร่านมักจะนำเด็กสาวเอ๊าะๆ มาถวายแด่โคไมนี่ให้เล่นมุตอะฮฺ เพราะชาวอิหร่านเหล่านั้น หวังว่าเด็กที่เกิดขึ้นมาจะได้เป็นเชื้อสายของอิมาม!!! ซัยยิดฮุซัยนฺ อัลมูเซาวีย์ ได้เฝ้าอดทนต่อพฤติกรรมอันจัญไรนี้มาโดยตลอด จนกระทั่งวันเสียงปืนแตกมาถึง เมื่อโคไมนี่ได้ทำมุตอะฮฺกับเด็กหญิงอายุเพียง 6 ขวบ ซึ่งในวันนั้น ซัยยิดฮุซัยนฺ อัลมูเซาวีย์ ได้เฝ้าอยู่และนอนอยู่ห้องข้างๆของโคไมนี่ และได้ยินเสียงเด็กร้อง ตลอดทั้งคืน จนในที่สุดซัยยิดฮุซัยนฺ อัลมูเซาวีย์ จึงได้หนีออกจากสถานที่อันวิปริตเหล่านั้น และภายหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นท่านได้เขียนหนังสือ ชื่อ لله .. ثم للتاريخ (เพื่ออัลลอฮฺและเพื่อประวัติศาสตร์) ออกมาเพื่อแฉพฤติกรรมอันชั่วร้ายของโคไมนี่ตลอดจนเหตุการณ์การเล่นมุตอะฮฺกับเด็ก 6 ขวบครั้งนั้นเช่นกัน แต่ราวกับว่าหน้าที่ท่านเสร็จสิ้นลงแล้ว ภายหลังการเขียนหนังสือชิ้นประวัติศาสตร์นี้ ท่านซัยยิดฮุซัยนฺ อัลมูเซาวีย์ ก็ได้ถูกฆาตรกรรมอย่างลึกลับ และเป็นปริศนาดำมืดจนถึงทุกวันนี้ว่าใครฆ่า ? แต่แน่นอนสติปัญญาย่อมบอกได้ว่า ใครฆ่า? ก็จะใครอีกเล่าถ้าไม่ใช่คนที่เดือดร้อนเพราะการแฉเรื่องราวเหล่านี้

ภาพหน้าปกหนังสือดังกล่าว




ดาวน์โหลดหนังสือ لله .. ثم للتاريخ ได้จากลิงค์นี้ (เป็นภาษาอาหรับ)
http://www.fnoor.com/books/fn037.zip

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีเรื่องราวอันน่าอัปยศเหล่านี้ออกมาแล้ว ทางชีอะฮฺเองก็หาได้สำเนียกและคิดปรับปรุงไม่ มิหนำซ้ำตลาดการมุตอะฮฺยังคงเฟื่องฟูขึ้นมากในหมู่วัยรุ่นชาวชีอะฮฺ และวันนี้มันก็ได้ทะลักมาสู่ชีอะฮฺในสังคมไทยแล้วเช่นกัน ตลอดจนซุนนีสมองตื้นบางคนที่กระหายทางเพศก็เออออรับการเล่นมุตอะฮฺมาเช่นกันโดยทำใจคิดว่ามันเป็นข้ออนุมัติในอิสลาม ใครไม่เชื่อลองไปหอพักแถวหน้ารามดู จะพบการเล่นมุตอะอฺเยอะพอดู

อีกประการหนึ่ง ที่ผู้เขียนพบเห็นก็คือ ความหมกมุ่นของชีอะฮฺในการเล่นมุตอะฮฺ จนถึงขนาดทำเว็บเพื่อการมุตอะฮฺโดยเฉพาะเลยคือ http://www.mutah.com/ เล่นเอามึนไปตามๆกัน ในความเป็นจริงนั้นพฤติกรรมการเล่นมุตอะฮฺนั้นจะมีความแปลกประหลาดอยู่กับคนสองกลุ่ม ก็คือ ชาวคริสต์เตียนและชีอะฮฺ ในฟากชาวคริสต์เตียนนั้นมองการเล่นมุตอะฮฺว่าเป็นสิ่งต่ำช้าแลละพยายามโจมตีอิสลาม ว่าเป็นศาสนาที่สอนเรื่องมุตอะฮฺโดยชอบไปนำเอาหลักฐานจากฝ่ายชีอะฮฺมาทั้งๆที่ชาวคริสต์เตียนไม่เคยไปมองเลยว่าในไบเบิลเองต่างหากที่มีโองการเรื่องมุตอะฮฺอยู่ ในฟากของชีอะฮฺเองนั้นก็พยายามจะยัดเยียดเรื่องมุตอะฮฺใส่พี่น้องมุสลิมโดยอ้างว่ามีในอิสลาม ก็พอจะเห็นนะครับว่าสองพวกนี้เอื้อต่อกันในการทำลายอิสลามเยี่ยงไร

สุดท้ายขอจบบทความนี้ด้วยภาพลับสุดยอด ของอุลามะอฺชีอะฮฺกับพฤติกรรมอันผิดศีลธรรม ซึ่งเป็นผลมาจากคำสอนเรื่องมุตอะฮฺครับ

อุลามะอฺชีอะฮฺในอิหร่านกำลัง เจรจาขอมุตอะฮฺกับสาวอิหร่านอยู่




ในสังคมอิหร่าน จะมีสาวๆชีอะฮฺยืนตามที่ถนน(ดังภาพข้างล่าง)เพื่อให้ชายที่สนใจมาขอเล่นมุตอะฮฺด้วยและภายหลังการเล่นมุตอะฮฺเสร็จก็จะมีการจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทน ถามว่าต่างกับกะหรี่บ้านเราตรงไหน
(เล่นมุตอะฮฺกับคนไหนดีหว่า )



ซัยยิด อัลคอตามี อิมามและอดีตประธาณาธิบดีชาวอิหร่านกับความหัวงูของมัน สังเกตุแววตา เฒ่าหัวงูซะไม่มี ไม่รู้เล็งใครไว้ป่าว


โอ๊ะๆๆๆ แต๊ะอั๋งหล่าว ไอ้แก่เอ๊ย หวังจะเล่นมุตอะฮฺอีกแหงเลย ฝ่ายหญิงก็ระรื่นน่าดูหวังได้เชื้อสายอิมามมั้ง



กับเด็กยังไม่เว้น




โอ้ ท่านเราะฮฺบัต อะลี คอมาเนอี ผู้นำสูงสุดของโลกชีอะฮฺ ให้สาวๆมาจูบมือได้ไง


นี่คือ อะฮฺมัด นิญ็อด ประธานาธิบดีอิหร่าน แง่ง ปากบอกจะสู้กับอเมริกาแต่ลอกสันดานอเมริกามาเปี๊ยบ
อยู่กับสาวๆได้หน้าไม่อาย




ภาพของมุฮัมมัด บากิร ซ็อดรฺ อุลามะอฺชีอะฮฺในตำนานของอิรัค ดูผิวเผินน่าเกรงขาม แต่กรุณาดูภาพทางขวาเปรียบเทียบจะพบกับความเพลบอยอย่างเหลือเชื่อ(อยู่กับสาวแถมเปิดเอาเราะฮฺ)
Photobucket - Video and Image Hosting

ญะมีล บิน อัด-ดารีย์กล่าวว่า เขาได้สอบถามอิมามญะอฺฟัร อัศ-ศอดิกว่า มุตอะฮฺเป็นที่อนุมัติสำหรับหญิงพรหมจารีด้วยหรือไม่ อิมามพูดว่า “ไม่มีความผิดในเรื่องนี้ ตราบเท่าที่ผู้หญิงไม่เด็กจนเกินไปนัก”อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้รวบรวมหะดีษ(ฝ่ายชีอะฮฺ)ทั้งหมดมีความเห็นตรงกันว่าเด็กหญิงที่มีอายุ 9 ขวบไม่ถือว่าเป็นเด็กจนเกินไป จากหนังสือ ฟุรูอฺ อัล-กาฟีย์, เล่ม 2, หน้า 196


โอ้ๆๆๆๆๆ นี่ชัดเลย จากคำสอนข้างต้น กับเด็กยังดูดดื่มขนาดนี้




กลับใจเสียเถิดชีอะฮฺ

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

น่าอนาถใจกับคำสอนชีอะฮฺแต่งงานกับสตรีพ่อเดียวกันได้!!!

ความระยำตำบอนของชีอะฮฺไม่เพียงแค่เสี้ยมสอนให้ทำมุตอะฮฺแล้วจะได้ผลบุญ สังวาสทางทวารหนักกับสตรีแล้วไม่เสียศีลอดและด่าทอท่านหญิงอาอีชะฮฺว่าทำซินาเท่านั้น แต่ยังอุตริเสี้ยมสอนกันว่าผู้ชายสามารถแต่งงานกับสตรีพ่อเดียวกันกับนางได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับความเข้าใจของมนุษย์ทั่วโลกทุกๆศาสนาที่ว่าพี่น้องพ่อเดียวกันแม้จะคนละมารดาย่อมเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตที่จะแต่งงานด้วยมิได้!!! แต่ลัทธิชีอะฮฺสกปรกนี้พยายามจะนำเอาวัฒนธรรมในยุคมืดทางสติปัญญา(ญาฮีลียะฮฺ)ก่อนหน้าอิสลามมาใช้กันในปัจจุบันอีกจนได้ ข้อมูลที่ท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้หาใช่การใส่ร้ายหรือใส่ไคล้ที่เกิดขึ้นจากความเกลียดชังไม่ แต่เป็นการกล่าวโดยนำมาจากข้อมูลของฝ่ายชีอะฮฺเองซึ่งเป็นข้อมูลที่จับต้องได้และสามารถตรวจสอบได้ว่ามันมีเรื่องแบบนี้จริงๆ!!!
เรื่องดังกล่าวนี้นำมาจาก www.balagh.net ซึ่ง เป็นเว็บชีอะฮฺและมีหลายภาษา ข้อมูลที่ได้มานี้เป็นส่วนจากภาษาอาหรับ กรุณาดูได้จากข้างล่างนี้

Reduced 46%
Attached Image

หมายเลข 108 ความว่า : มันเป็นที่อนุมัติที่จะแต่งงานสำหรับบุตรชายในการแต่งงานกับบุตรสาวของบิดาเขาซึ่งเป็นลูกของเมียทาส

อะลี บินอิดรีส กล่าวว่า ฉันได้ถามอิมามอัรริฎอ(หนึ่งในอิมามสิบสอง) ว่าฉันมีทาสหญิง และต่อมาฉันได้มีเพศสัมพันธ์กับนาง และได้ปลดปล่อยนางให้เป็นอิสระจากการเป็นทาส แต่ต่อมานางได้ให้กำเนิดทาสหญิงมันเป็นที่ชอบด้วยกฎหมายอิสลาม(ตามทัศนะชีอะฮฺ) หรือไม่ที่บุตรชายของฉันจะแต่งงานกับบุตรสาวที่เกิดมาจากทาสหญิงคนนั้น อิมามริฎอตอบว่า ใช่ ทั้งก่อนและหลัง การมีเพศสัมพันธ์ !!!!!!


น่าอนาถใจเหลือเกินที่หลักการของลัทธิชีอะฮฺ มองผู้หญิงเป็นแค่นางบำเรอสนองกามารมณ์ทางเพศ โดยมิได้ถือว่าลูกสาวที่เกิดมาจากหญิงทาสเป็นบุตรของพ่อตน พวกมันจึงได้อนุมัติให้ผู้ชายแต่งงานกับบุตรสาวของทาสได้ ถึงแม้จะมีสายโลหิตของตัวพ่อมันก็ตาม

เอ้า ใครอยากจะเป็นชีอะฮฺอีก สาวๆชีอะฮฺยอมไหม ?

วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

พระหัตถ์ของพระเจ้า พระหัตถ์ของฟะติมะฮฺ ยิวและรอฟิเดาะฮฺชีอะฮฺ!!!???

สิ่งที่ท่านกำลังเห็นต่อไปนี้คือภาพเปรียบเทียบจากพฤติกรรมทางความเชื่อของศาสนายิวในเรื่องของวัตถุเคารพทางศาสนากับพฤติกรรมของชีอะฮฺ ที่ส่อให้เห็นถึงความคล้ายคลึงและอิทธิพลที่ชีอะฮฺรับมาจากยิวเต็มๆ
ในศาสนาและความเชื่อของชาวยิวนั้นจะมีสิ่งหนึ่งที่ถูกเรียกกันว่า (Hamsa) หรือพระหัตถ์ของพระเจ้าซึ่งชาวยิวจะประดิษฐ์แผ่นเหล็กขึ้นมาให้มีรูปร่างคล้ายกับมือและมีสัญลักษณ์ของชนชาติยิวตลอดจนเครื่องหมายและข้อความต่างๆที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาของยิวแกะสลักไว้ข้างบนฝ่ามือเหล็กนั้น ซึ่งอุปกรณ์ที่ถูกเรียกกันว่า (hamsa) หรือพระหัตถ์ของพระเจ้า นี่ถือเป็นวัตถุมงคลทางศาสนาของชาวยิวที่ชาวยิวให้ความเคารพเปรียบเสมือนดังไม้กางเขนของชาวคริสต์เตียน อย่างไรก็ตามกลุ่มลัทธิรอฟิเดาะฮฺชีอะฮฺซึ่งเป็นกลุ่มที่แอบอ้างชื่ออิสลามมาหากิน แต่มีความเชื่อที่คล้ายคลึงกับยิว อีกทั้งยังเชื่อว่าท่านหญิงฟะตีมะฮฺบุตรีของท่านนบีมุฮัมมัด(ศ้อลฯ) คือพระเจ้าผู้เนรมิตที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งปรากฏในรูปผู้หญิง!!!!! (เกี่ยวกับความจริงข้อนี้พิสูจน์ได้ที่ลิงค์นี้ http://www.khomainy.com/arkho/thailand/?ID=41 ) ด้วยเหตุนี้เองกลุ่มลัทธิรอฟิเดาะฮฺชีอะฮฺจึงได้เอาเยี่ยงอย่างด้วยการทำมือออกมาในลักษณะที่คล้ายคลึงกับ Hamsa ของชาวยิว และใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของตนเองเช่นกัน

ภาพที่เห็นข้างล่างนี่คือ พระหัตถ์ของพระเจ้า หรือวัตถุมงคลในศาสนายิวซึ่งรู้จักกันในชื่อ Hamsa


แผ่นเหล็ก Hamsa ของชาวยิว






โปรดสังเกตุแผ่นเหล็ก Hamsa ภาพนี้ จะพบสัญลักษณ์ของชาวยิวหรือดาวเดวิดกลางพระหัตถ์อย่างชัดเจน



แผ่นเหล็ก Hamsa ของชาวยิวตามที่วางขายกันตามตลาดมีลวดลายมากมาย




แผ่นเหล็ก พระหัตถ์ฟะติมะฮฺ ของพวกชีอะฮฺหรือที่รู้จักกันในชื่อว่า يد فاطمه


ลอกเลียนแบบจากยิวเปี๊ยบๆๆ






โปรดสังเกตุภาพนี้ จะพบเห็นแผ่นเหล็กที่ถูกเรียกันว่าพระหัตถ์ฟะติมะฮฺหลังมิมบัรของอุลามะอฺชีอะฮฺในภาพอย่างชัดเจนสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของชาวยิวที่ถ่ายทอดมาสู่ลัทธิชีอะฮฺ เพราะชาวยิวก็มักใช้แผ่นเหล็ก Hamsa ในโบสถ์หรือพิธีกรรมทางศาสนาเช่นกัน


วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2552

รอฟิเดาะฮฺกับศาลเจ้ามุชริก

بِسمِ اللهِ الرحمن الرَحِيم
เขียนโดย ขุนศึกอิสลามพิทักษ์ลูกหลานนบี
เป็นที่ทราบกันดีว่าผู้ที่นับถือศาสนารอฟิเดาะฮฺหรือลัทธิ “มุตอะฮฺนิยม” นั้นเกลียดชังพ่อตาสุดที่รักของท่านนบี(ศ็อลฯ) อย่างท่านอุมัรชนิดเข้ากระดูกดำ เพียงเพราะนิยายสมองตื้นที่โคตรบรรพบุรุษของรอฟิเดาะฮฺได้แต่งขึ้นมาโดยหาว่าท่านอุมัรถีบท่านหญิงฟะติมะฮฺผู้บริสุทธิ์จนแท้งลูก ข้อกล่าวหานี้นอกจากรอฟิเดาะฮฺจะวาดภาพท่านอะลีเป็นลูกแมวเชื่องขี้ขลาดที่ปล่อยให้คนอื่นมารังแกภรรยาตัวเองแล้ว ยังส่อให้เห็นถึงความโรคจิตของรอฟิเดาะฮฺที่เกลียดชังท่านอุมัรจนหน้ามืดโดยไม่สนใจว่าคนที่รายงานเรื่องมดเท็จเหล่านี้มาจะเป็นชายขี้เมาด้วยซ้ำ (ท่านสามารถอ่านข้อเท็จจริงของนิยายพิลึกพิลั่นนี้ได้จาก http://www.sunnahcyber.com/truepath/modules/news/article.php?storyid=45 )
อย่างไรก็ตามในภายหลังเมื่อท่านอุมัรถูกสังหารโหดโดยทาสชาวอิหร่านผู้นับถือศาสนามะญูซีย์นามว่า อบูลุลุอะฮฺแล้ว ความพอใจของชีอะฮฺก็ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน ดังที่ มุฮัมมัด บากิร อัลมิจลีซี นักปราชญ์นามอุโฆษของชีอะฮฺได้กล่าวไว้ว่า
“วันที่อุมัรถูกฆ่าโดยกาเฟรชาวเปอร์เซียที่ชื่อว่า ลุลุอฺ คือวันที่มีสิริมงคลแห่งปี
หนังสือ ฮะยาตุลกูลูบ หน้า 870
ภาพที่ท่านกำลังจะเห็นข้างล่างนี้คือผลจากคำสอนของลัทธิรอฟิเดาะฮฺที่มีต่อมุชริกและฆาตกรคนนี้
นี่คือหน้าปกหนังสือที่แสกนมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ชื่อหนังสือว่า “ฟัรฮะตุสสะรออฺ” เขียนโดย เชคอบูอะลี อัลอัสฟะฮานี อุลามะอฺชื่อดังของรอฟิเดาะฮฺ ซึ่งได้มีการระบุถึงความประเสริฐของการเยี่ยมเยียนกุบุ้รของมุชริกนามว่าอบูลุลุอะฮฺคนนี้
อย่างไรก็ตามปัจจุบันกุบู้รของมุชริกคนนี้ถูกฝังอยู่ในประเทศอิหร่าน และชาวรอฟิเดาะฮฺชีอะฮฺเองก็มักจะมาเยี่ยมเยียนและดุอาร์กับกุบู้รนี้เสมอดังภาพที่ท่านจะเห็นต่อไปนี้
นี่คือประตูกำแพงด้านหน้าสุดของศาลเจ้าอบูลุลุอะฮฺ ซึ่งใหญ่โตมโหราฬเหลือเชื่อ
ภาพข้างล่างนี่คือข้อความที่เขียนเพื่อให้เกียรติแก่อบูลุลุอะฮฺ โดยใช้สรรพนามว่า พณฯท่านอบูลุลุอะฮฺ !!!

บริเวณภายในกำแพงและหน้าศาลเจ้าของอบูลุลุอะฮฺ

ภายในของศาลเจ้าอบูลุลุอะฮฺมีบอกรายละเอียดเสร็จสรรพ


ข้างล่างนี้คือกิติกรรมประกาศอันทรงเกียรติของอะบูลุลุอะฮฺ โปรดสังเกตุอบูลุลุอะฮฺเป็นมุชริกนับถือศาสนามะญูซี แต่ข้อความข้างบนสุดตรงกลางในรูปเลยกลับมีการกล่าวว่า บิสมิลละฮฺ ฮิรเราะฮฺมานิรรอฮีม อบูลุลุอะฮฺ ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงกรุณาผู้ทรงเมตตา อบูลุลุอะฮฺ

ขอพระองค์ทรงปกป้องเราจากความหลงผิดเยี่ยงนี้เถิด

ภายในห้องเก็บกูบู้รของอบูลุลุอะฮฺกับพฤติกรรมของชีอะฮฺ

โปรดสังเกตุตรงซ้ายมือของภาพมีการนำรูปวาดของท่านอะลีตามจินตนาการของรอฟิเดาะฮฺมาติดควบคู่ซะด้วย


ในขณะที่กับท่านหญิงอาอีชะฮฺและฮัฟเศาะฮฺผู้เป็นภรรยาของท่านนบีรอฟิเดาะฮฺมักจะสาปแช่ง แต่กับอบูลุลุอะฮฺผู้นับถือศาสนามะญูซีบูชาไฟ รอฟิเดาะฮฺกลับกล่าวคำว่า รอฮิมาฮุลลอฮฺหรือ ขอพระองค์อัลลอฮฺทรงเมตตาแถมยังขอดุอาร์กันยกใหญ่ ดังภาพข้างล่างนี้


ระดับอุลามะอฺพันหัวใส่สาระบั่นมาเองเลยแถมกระโดดโลดเต้นเฮฮากันยกใหญ่


จงพิจารณาเถิด ว่าท่านหลงผิดไปจากทางแห่งอิสลามได้อย่างไร

โอ้ โลกชีอะฮฺจงตื่นเถิด

อยาตุลลอฮฺมูซา อัลมูซาวี"