วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

ชีอะฮฺ&ยิว เราจะเป็นพันธมิตรกันตราบจนวันตาย

อิบน ซะบาอฺชายชาวยิวกับผู้เป็นกำเนิดลัทธิชีอะฮฺ
อิบนฺ ซะบาอฺเสนอความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺ
อิบนฺ ซะบาอฺรู้จักจิตวิทยาของมนุษย์เป็นอย่างดี และเขายังรู้ว่าเมื่อไรและที่ไหนควรทำอย่างไร เขาเสนอหลักความเชื่อว่าภายหลังท่านศาสดา ศ็อลฯ จากไปแล้ว ท่านอะลี รอฎิฯ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องและเป็นบุตรเขยของท่านนั้นเป็นบุคคลที่ประเสริฐที่สุดเมื่อ เปรียบเทียบกับบรรดาชนชั้นนำทั้งหลายของอิสลามในขณะนั้น เขาเที่ยวสาธยายหะดีษของท่านศาสดา ศ็อลฯ ที่เกี่ยวกับการยกย่องท่านอะลี รอฎิฯ มากมายหลายหะดีษ ในบรรดาหะดีษเหล่านี้มีหะดีษปลอมที่เขากุขึ้นเองก็มากเหมือนกัน เมื่อลูกศิษย์และสมัครพรรคพวกของเขาเกิดความเชื่อในสถานภาพอันสูงส่งขอ งท่านอะลี รอฎิฯ ในฐานะที่เป็นบุคคลที่ประเสริฐที่สุดภายหลังการจากไปของท่านศาสดา ศ็อลฯ แล้ว เขาจึงเสนอหลักความเชื่อใหม่ขึ้นอีกประการหนึ่ง กล่าวว่าศาสดาทุกท่านต่างก็มี " วะซี " (คนสนิท)ด้วยกันทั้งนั้น วะซีผู้นี้คือคนที่รักษาความลับสำคัญๆ ที่ศาสดาแต่ละท่านจะมอบเอาไว้ให้ด้วยความไว้วางใจ วะซีของท่านนบีมูซาได้แก่ท่านยูซะ(โยชัว) บุตรของนูน ส่วนวะซีของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ ได้แก่ท่านอะลี อิบนฺ อบีตอลิบ เขายังเน้นย้ำว่าการมีศรัทธาในหลักความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺนั้นเป็นสิ่งจำเป็น(วายิบ)เป็นอย่างมากเหมือนกับการศรัทธาในหลักเตาฮีดและภาวะศาสดาของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ สำหรับคนที่ด้อยปัญญาและหลอกลวงได้ง่าย เขาจะบอกโดยลับว่า ท่านอะลีมีปาฏิหารย์เหนือมนุษย์ทั้งหลาย ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เขาประกาศว่าท่านอะลีเป็นพระเจ้าที่จุติลงมาเกิด ในหมู่มุสลิมนั้น มีหลายคนที่ไม่พอใจตระกูลบนูอุมัยยะฮฺ และให้การสนับสนุนบนูฮาชิม คนเหล่านี้จึงตอบรับการโฆษณาชวนเชื่อของอิบนฺ ซะบาอฺได้ในฉับพลัน ทั้งๆที่หลายคนของพวกเขาเป็นผู้มีความรู้และมีไหวพริบดี อิบนฺ ซะบาอฺและพลพรรคของเขาได้ทำงานอย่างลับๆ และหลบๆ ซ่อนๆ เพื่อที่จะเผยแพร่แนวความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺและความยิ่งใหญ่ของท่านอะลี รอฎิฯ ในท่ามกลางมุสลิมสมัยนั้นอิบนฺ ซะบาอฺมีความระมัดระวังในการเลือกช่วงเวลาและโอกาสอันเหมาะสมสำหรับปฏิบัติการและป่าวประกาศสิ่งใดก็ตาม เมื่อจำนวนคนที่เชื่อในเรื่องอิมามะฮฺมีเพิ่มมากขึ้น เขาจึงบอกคนเหล่านั้นว่าท่านศาสดา ศ็อลฯ ได้มอบมรดกการสืบต่ออำนาจปกครองแทนท่านให้กับท่านอะลี รอฎิฯ เอาไว้อย่างชัดเจน ดังนั้นท่านอะลี รอฎิฯ จึงเป็นเคาะลีฟะฮฺท่านแรกต่อจากท่านศาสดา ศ็อลฯ และยังเป็นอิมามคนแรกของบรรดามุสลิมทั้งหลาย เขายังเผยแพร่ต่อไปอีกว่าบรรดาเศาะหาบะฮฺ(มิตรสนิท)ของท่านศาสดา ศ็อลฯ จงใจละเลยและไม่นำพาต่อพินัยกรรมของท่านศาสดา ศ็อลฯ เกี่ยวกับการสืบอำนาจผู้นำของท่านอะลี รอฎิฯ นอกจากนี้เขายังป่าวประกาศอีกว่าบรรดาเศาะหาบะฮฺเป็นผู้ฉ้อฉลสิทธิการสืบอำนาจปกครองอันเป็นมรดกของท่านอะลี รอฎิฯ เศาะหาบะฮฺเป็นคนที่หลงไหลในผลประโยชน์และตำแหน่งหน้าที่ทางโลก เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงสมควรได้รับคำประณามหยาบเหยียดเพราะเหตุดังกล่าวนั้น อิบนฺ ซะบาอฺผู้นี้แหละเป็นคนแรกที่เริ่ม " ตะบัรฺเราะฮฺ " (การใส่ร้ายป้ายสีบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านศาสดา ศ็อลฯ) หลังจากนั้นเขาได้ดำเนินตามแผนการร้ายอีกขั้นหนึ่ง กล่าวคือเขาได้ยุยงให้พลพรรคของเขาเปลี่ยนท่านอะลี รอฎิฯ มาดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺแทนที่ท่านอุษมาน รอฎิฯ หนทางที่จะทำให้ท่านอะลี รอฎิฯ ได้ดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺอย่างแน่นอนนั้น อาจจะสำเร็จได้โดยการสร้างความวุ่นวายทางการเมืองขึ้นมา แล้วปลดท่านอุษมาน รอฎิฯ ออกจากตำแหน่ง หรืออาจจะสำเร็จได้โดยการสังหารชีวิตท่าน เขาทำการปลุกปั่นยุยงประชาชนให้ต่อต้านรัฐบาลของท่านอุษมาน รอฎิฯ โดยโจมตีเรื่องการแต่งตั้งมัรวานเป็นเลขาธิการใหญ่ ซึ่งมัรวานเองได้อาศัยอำนาจในตำแหน่งทำการบรรจุคนจากตระกูลเดียวกับตน (บนูอุมัยยะฮฺ)เข้าไปยึดครองตำแหน่งหน้าที่ต่างๆในรัฐบาลจนหมดสิ้น อิบนฺ ซะบาอฺโหมโฆษณาว่า มีการใช้อำนาจบาตรใหญ่และความอยุติธรรมอยู่ทุกหนทุกแห่ง และสถานการณ์เลวร้ายในขณะนั้นเรียกร้องให้ประชาชนก่อการปฏิวัติทฤษฎีอิมามะฮฺทฤษฎี "อิมามะฮฺ" นี้เป็นเรื่องอุปโลกน์ที่อับดุลลอฮฺ บินซะบาอฺเสกสรรปั้นแต่งขึ้นอย่างแท้จริง เขาสร้างมันให้เป็นหลักความเชื่อพื้นฐานสำหรับชาวชีอะฮฺโดยตรง ชีอะฮฺทุกกลุ่มต่างก็ยึดถือทฤษฎีนี้ในฐานะที่เป็นรากฐานของศาสนาของพวกเขา ทั้งๆที่หลักความเชื่อนี้ไม่ปรากฏว่ามีอยู่ในอัล-กุรฺอานหรือในหะดีษของท่านศาสดา ศ็อลฯ ซึ่งเป็นต้นตอของคำสอนต่างๆในอิสลามแต่อย่างใด อัล-กุรฺอานมิได้ให้การสนับสนุนทฤษฎี "อิมามะฮฺ" แม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม อัล-กุรฺอานได้ปฏิเสธทฤษฎีดังกล่าวเสียด้วยซ้ำไป เมื่อไม่พบหลักฐานใดจากอัล-กุรฺอานและหะดีษมาสนับสนุนหลักศรัทธาพื้นฐานของพวกเขา ชาวชีอะฮฺจึงกล่าวหาบรรดาผู้รวบรวมบันทึกอัล-กุรฺอานในยุคต้นว่าทำการดัดแปลงอัล-กุรอาน โดยป้ายสีพวกเขาว่าตัดทอนอายะฮฺต่างๆ ที่สนับสนุนหลักศรัทธาของพวกเขาออกจากอัล-กุรฺอานไปจนหมดสิ้น โดยเฉพาะทฤษฎีอิมามะฮฺ จุดยืนที่บรรดาสาวกของอิบนฺ ซะบาอฺยึดอยู่ได้แก่ การกล่าวว่าอัล-กุรฺอานขนานแท้และดั้งเดิมนั้นมีอยู่ 70,000 อายะฮฺ แต่ถูกตัดทอนลงเหลือเพียง 6,666 อายะฮฺเท่านั้น พวกเขากล่าวหาว่ามีอัล-กุรฺอานมากกว่าครึ่งหนึ่งถูกปิดบังเอาไว้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหาหลักฐานหรือข้อพิสูจน์ใดๆมาสนับสนุนคำกล่าวหา ของตนเองได้ นอกจากการอ้างว่าอิมามอัล-ฆอยบฺ(ผู้หลบซ่อน)หรืออิมามคนที่ 12 ของพวกเขาเป็นผู้เก็บรักษาอัล-กุรฺอานฉบับสมบูรณ์ขนานแท้และดั้งเดิมที่มีอยู่ 70,000 อายะฮฺเอาไว้ และท่านจะมอบอัล-กุรฺอานดังกล่าวคืนให้กับโลกเมื่อท่านได้กลับมาอีกครั้งหนึ่งก่อนวันอวสานของโลกนี้เมื่ออัล-กุรฺอานมิได้สนับสนุนทฤษฎีอิมามะฮฺ ชาวชีอะฮฺจึงกุหะดีษปลอมขึ้นโดยอ้างเท็จให้กับท่านศาสดา ศ็อลฯ ในทำนองว่าหลักความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺถูกสอนให้กับท่านอะลีแต่เพียงผู้เดียว และเป็นไปอย่างเร้นลับเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่จะสนับสนุนความเชื่อของพวกเขา ชาวชีอะฮฺมักจะอ้างอิมามบากิรฺและอิมามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกอยู่เป็นประจำ พวกเขายัดเยียดข้อความต่อไปนี้ว่าเป็นคำพูดของท่านอิมามบากิรฺเกี่ยวกับเรื่องอิมามะฮฺ "อัลลอฮฺ ผู้ทรงสูงส่งทรงบอกความลับเรื่องวิลายะติลลาฮฺ(อำนาจการปกครองของพระเจ้า)ให้ญิบรีล อะลัยฮิสสะลาม รับทราบ แล้วญิบรีลได้บอกความลับเรื่องนี้ให้ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ รับทราบ จากท่านนบี ศ็อลฯ เรื่องนี้ได้รับการถ่ายทอดเป็นความลับต่อไปยังท่านอะลี ซึ่งท่านอะลีได้บอกความลับเรื่องนี้ต่อไปยังบุคคลที่ท่านต้องการ บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่พวกท่าน(ชีอะฮฺ)จะต้องประกาศให้คนทั่วไปได้รับรู้" เรื่องนี้ท่านอิมามบากิรฺจะล่วงรู้หรือไม่ว่ามีการยัดเยียดคำพูดให้กับตัวท่านอย่างไร้ความจริงเกิดขึ้นแล้ว!ขอให้รับทราบกัน ณ บัดนี้เลยว่า ทฤษฎีอิมามะฮฺนั้นเป็นความลับที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีมาโดยตลอด ในหมู่มลาอิกะฮฺ มีเพียงญิบรีล อะลัยฮิสสะลาม เท่านั้นที่ทราบเรื่อง ในบรรดานบีทั้งหลาย มีเพียงนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ เท่านั้นที่ทราบเรื่อง ในท่ามกลางเหล่าเศาะหาบะฮฺ มีเพียงท่านอะลีเท่านั้นที่ทราบเรื่อง แต่จากตำราอ้างอิงที่น่าเชื่อถือทั้งหลาย ท่านอะลีจะบอกความลับเรื่องนี้ให้บุคคลใดรับทราบบ้างนั้น ยังไม่เป็นเรื่องที่รู้กันแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ขอให้เราพยายามมองให้เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ ทฤษฎีอิมามะฮฺนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ ในเมื่อความเชื่อในหลักการข้อนี้เป็นสิ่งจำเป็นหลักของศาสนาสำหรับมวลมนุษยชาติทั้งหลาย แล้วทำไมถึงต้องเก็บเป็นความลับมากขนาดนั้น พิจารณาตามเหตุผลแล้ว จะต้องประกาศเรื่องนี้ออกไปให้คนทั้งหลายได้รับรู้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าโองการอะไรก็ตามที่พระเจ้าประทานลงมาเพื่อมวลมนุษยชาติ โองการนั้นมิใช่จะมุ่งหมายไปยังบุคคลหนึ่งๆเป็นการเฉพาะ หรือคนของชนชั้นใดเป็นพิเศษ ถ้าคำสอนใดก็ตามที่มุ่งหมายเพื่อมนุษยชาติทั้งหลาย แต่กลับมีลักษณะเร้นลับ คำสอนนั้นย่อมจะไม่สมเหตุผล และให้ถือได้เลยว่าคำสอนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า สัจธรรมย่อมจะสมเหตุผลเสมอ สิ่งใดก็ตามที่ดูไร้เหตุผล สิ่งนั้นย่อมเป็นความเท็จตามหนังสือ "มัญจฺมะ บิฮารุล อันวารฺ" บันทึกเอาไว้ว่า ในยามที่ท่านศาสดา ศ็อลฯ จากโลกนี้ไป ขณะนั้นเศาะหาบะฮฺของท่านมีจำนวน 124,000 คน ในหมู่เศาะหาบะฮฺ มีจำนวน 7,500 คนที่เคยนำหะดีษของท่านศาสดา ศ็อลฯ มาใช้อ้างหรือสั่งสอน เรารู้จักพวกเขาในนามของผู้รายงานหะดีษ แต่ไม่มีเศาะหาบะฮฺสักคนเดียวที่รายงานหะดีษเกี่ยวกับทฤษฎีอิมามะฮฺให้เรารับทราบกันชาวชีอะฮฺเชื่อว่าตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺ(ผู้สืบทอดอำนาจการปกครองเหนือบรรดามุสลิม)เป็นสิทธิของอิมามผู้บริสุทธิ์และปราศจากความบาปทั้งมวลเหมือนกับนบีไม่มีผิด การเชื่อฟังอิมามเป็นภาระที่มุสสลิมจะต้องกระทำ อิมามได้รับการแต่งตั้งจากอัลลอฮฺ ศุบหฯ และจากคุณสมบัติดังกล่าวของอิมาม อิมามจึงเป็นเคาะลีฟะฮฺของบรรดามุสลิม แต่ท่านอบูบักรฺ ซิดดีก ท่านอุมัรฺและท่านอุษมาน รอฎิฯล้วนขึ้นสู่ตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺโดยการบัยอะฮฺ(การให้สัตยาบันแสดงการยอมรับในตัวผู้นำ)ของประชาชน สิ่งสำคัญที่ควรจะให้ความสังเกตุ ณ ที่นี้ก็คือว่า ท่านอะลี รอฎิฯ เสนอบัยอะฮฺให้กับเคาะลีฟะฮฺสามคนก่อนหน้าท่าน(คือท่านอบูบักร อุมัรและอุษมาน รอฎิฯ)ด้วยความสมัครใจและจากความยินดี สำหรับชาวชีอะฮฺแล้ว ในบรรดาเคาะลีฟะฮฺสามคนนี้ไม่มีใครสักคนที่บริสุทธิ์และปราศจากบาปเช่นนบีของพระเจ้า ดังนั้นท่านทั้งสามจึงไม่มีความเหมาะสมสำหรับตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺแต่อย่างใดสิ่งที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่งก็คือ ท่านอะลี รอฎิฯ อิมามคนแรกของชาวชีอะฮฺเองไม่เคยกล่าวสักคำว่า เคาะลีฟะฮฺสามคนก่อนหน้าท่านขาดคุณสมบัติในการเป็นเคาะลีฟะฮฺ อีกทั้งท่านยังไม่เคยปฏิเสธที่จะยอมรับภาวะเคาะลีฟะฮฺที่แท้จริงในตัวท่านทั้งสามอีกด้วย ถ้าจะว่ากันตามที่ชาวชีอะฮฺอ้างว่าท่านอะลีรับทราบเกี่ยวกับเรื่องอิมามะฮฺแล้ว ในขณะที่ท่านอบูบักร รอฎิฯได้รับการคัดเลือกให้เป็นเคาะลีฟะฮฺคนแรกของท่านศาสดา ศ็อลฯนั้น ท่านอะลีก็ควรจะประกาศเรื่องนี้ออกไปโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อยเนื่องจากท่านอะลี รอฎิฯยอมรับและเสนอบัยอะฮฺให้กับท่านอบูบักรฺ ท่านอุมัรและท่านอุษมาน รอฎิฯ จึงสรุปได้ว่าท่านไม่เคยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับทฤษฎีนี้เลย หรือไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงเสียด้วย ท่านอาจจะเคยสอนทฤษฎีนี้อย่างน้อยที่สุดให้แก่ผู้ใกล้ชิดที่สุดและเป็นที่รักมากที่สุดในยุคสมัยเดียวกับท่าน แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ทฤษฎีนี้ไม่เคยมีอยู่จนกระทั่งท่านอะลี รอฎิฯได้เป็นเคาะลีฟะฮฺ ส่วนตัวหลักความเชื่อเองถูกอุปโลกน์ขึ้นภายหลังจากนั้นเป็นเวลานานจิตใจที่ฉลาดแกมโกงของอิบนฺ ซะบาอฺกุลัทธิความเชื่อนี้ขึ้นเพื่อจะบ่อนทำลายคำสอนและหลักศรัทธาของอิสลามตรงรากฐาน ลูกศิษย์สาวกและคนสนิทของเขายังอุปโลกน์หะดีษจำนวนมากมายหลายร้อยหะดีษ บางหะดีษยังเป็นการยัดเยียดให้กับท่านศาสดาแห่งอิสลามอย่างผิดๆ รายงานปลอมเหล่านี้ถูกนำมาผสมปนเปกับหะดีษแท้ จนมีชาวสุนนีย์หลายคนหลงไปยอมรับรายงานเก๊พวกนั้น ในระหว่างสมัยของมะมูน อัรฺ-รอชีด อับบาซี มีชายคนหนึ่งอวดอ้างว่าตนเป็นนบี เคาะลีฟะฮฺมีคำสั่งให้ตัดหัวนบีปลอมผู้นั้น คนที่เป็นนบีปลอมกล่าวว่า "ท่านกำลังจะประหารข้าฯ แต่หะดีษจำนวนพันๆรายงานที่ข้าฯ กุมันขึ้นมาอย่างไม่ถูกต้อง และข้าฯได้แพร่กระจายมันออกไปจะยังคงอยู่ต่อไป" ออกจะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสามัญสำนึกและขัดแย้งกับสติปัญญาธรรมดาๆ ถ้าหากว่าหลักความเชื่อสำคัญซึ่งกล่าวกันว่าเป็นรากฐานของศาสนามิได้เป็นที่ รับทราบของบรรดาสาวกและเศาะหาบะฮฺจำนวนพันๆคน เพื่อที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้ดูกระจ่างขึ้น ผู้สนับสนุนหลักความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺจึงสร้างลักษณะอันลี้ลับให้กับเรื่องนี้ ชาวชีอะฮฺคิดว่าพวกเขาสามารถเอาชนะอุปสรรคที่คอยขัดขวางมิให้มุสลิมส่วน ใหญ่ยอมรับหลักความเชื่อดังกล่าว แต่พวกเขาคิดผิดถนัด เพราะคนมีสติที่สนใจในการแสวงหาความจริงย่อมจะปฏิเสธหลักความเชื่อนี้โดยสิ้นเชิง ความเท็จและการทุจริตต่อศาสนาเป็นอาชญากรรมที่มีลักษณะเลวร้ายที่สุด มันไม่สามารถจะซ่อนเร้นอยู่เป็นเวลานานๆอย่างเด็ดขาด ตรงกันข้ามพระเจ้าเองทรงทำให้ความจริงหรือสัจจธรรมเป็นที่รักและหยั่งราก ลึกลงในธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งชิงชังและปฏิเสธความเท็จทั้งมวล ถึงแม้ว่ามันจะถูกซ่อนเร้นกลบเกลื่อนอยู่ก็ตาม ความเท็จนั้นย่อมจะมลายไปในที่สุด หลักความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺมิได้มีที่มาจากอัล-กุรฺอานและหะดีษของท่านศาสดา ศ็อลฯ เป็นเรื่องที่ขาดความเชื่อถือได้ นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นจากจิตใจที่ฉลาดแกมโกงของอิบนฺ ซะบาอฺอย่างแท้จริง
อับดุลลอฮฺ บิน ซะบาอฺ : ที่มาของการใส่ร้ายเศาะหาบะฮฺ
อัน-นุบัคตี ได้เขียนในหนังสือของเขาชื่อ "ฟิรอกุช-ชีอะฮฺ" ว่า บุคคลแรกที่ใส่ร้ายท่านอบูบักร, อุมัรและอุษมานนั้นคืออับดุลลอฮฺ บินสะบาอฺการกล่าวถึงเศาะหาบะฮฺเหล่านั้นในด้านลบ การกล่าวหา การโจมตี การประณามและการใส่ร้ายเศาะหาบะฮฺทั้งสาม(รวมถึงท่านหญิงอาอิชะฮฺ, ฮัฟเซาะฮฺ, ฏ็อลฮะฮฺ, ซุบัยรฺ ฯลฯ) นั้นยังคงมีเหลืออยู่ในคนบางกลุ่มในปัจจุบัน มิหนำซ้ำพวกนี้เชื่อว่า การใส่ร้ายดังกล่าวนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงถึงการศรัทธาที่แท้จริง ผู้ใดไม่ใส่ร้ายและไม่กล่าวหาเคาะลีฟะฮฺทั้งสามถือว่าไม่ใช่สาวกที่ศรัทธามั่นคง ทั้งๆ ที่เคาะลีฟะฮฺทั้งสามเป็นผู้ช่วยเหลือท่านนบีฯ อย่างซื่อสัตย์ และเป็นที่รักใคร่ของท่านนบีฯอับดุลลอฮฺ บินสะบาอฺ เป็นใครอับดุลลอฮฺ บินสะบาอฺ เป็นยิวชาตินิยม-ศาสนานิยมจัด เป็นมุนาฟิกที่อันตรายยิ่ง และเป็นศัตรูของอิสลามที่ทำงานได้ผลพอสมควรอัล-กาซี ได้เขียนไว้ในหนังสือ "ริญาลุล-กาซี" หน้า 100 ว่า : รายงานจากซัยนุล-อาบิดีน อะลี บุตรของหุเซน ได้กล่าวว่า : "หวังว่าอัลลอฮฺทรงละอฺนัต(สาปแช่ง)ผู้ที่กล้ากล่าวเท็จต่อตัวฉัน อับดุลลอฮฺ บินสะบาอฺเป็นบุคคลหนึ่ง ซึ่งเมื่อมีการกล่าวถึง-บุคคลผู้นี้แล้ว-ทำให้ฉันขนลุกทั่วตัว เพราะความน่าเกลียด น่าขยะแขยง เขาได้พูดเรื่องที่ไม่เป็นความจริง หวังว่าอัลลอฮฺทรงละอฺนัตแก่เขา แท้จริง ท่านอะลี รอฎิฯเป็นบ่าวของอัลลอฮฺที่ศอลิหฺ(กัลญาณชน) และเป็นญาติสนิทของท่านนบีฯ ท่านอะลีได้รับเกียรติจากอัลลอฮฺเนื่องจากความเชื่อฟังของท่านต่ออัลลอฮฺ และต่อท่านรสูล และครอบครัวของท่านก็ได้รับเกียรติจากอัลลอฮฺ เนื่องจากความเชื่อฟังต่ออัลลอฮฺและต่อท่านรสูล"
อิบนฺ สะบาอฺเป็นนิทานหรือเป็นเรื่องจริง
ความจริงการดำรงอยู่จริงของอิบนฺ สะบาอฺนี้ได้รับการพิสูจน์โดยนักปราชญ์ของสายชีอะฮฺ และบรรดาอิมามของพวกเขา ถ้าจะแก้ตัวว่าอัล-อัสการีย์ไม่มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของอัล-อะซากิรฺ หรือคนอื่นๆ ก็อาจจะกล้อมแกล้มฟังได้ แต่ถ้าบอกว่าอัล-อัสการีย์ไม่รู้ถึงมรดกของตนเองนั้น ก็เห็นจะต้องยืนยันคำว่า “ชอบที่จะละเลย” ให้หนักแน่นยิ่งขึ้น โดยทั่วไปแล้ว ผู้ค้นคว้าวิจัยระดับคงแก่เรียนนั้น เมื่อจะเขียนผลการวิจัย เขาย่อมต้องทุ่มเวลาให้กับการค้นคว้าตำรับตำราต่างๆ มากเป็นพิเศษ และตำราที่เขาจะละเลยไม่ได้เลย นั่นก็คือตำราที่เป็นมรดกทางวิชาการของตนเองแต่ในบทสำรวจประวัติศาสตร์ของเขา ซึ่งอัล-อัสการีย์อ้างว่ากระทำอย่างละเอียดลออจริงๆ เขากลับไม่พูดถึงตำรับตำราของพวกตนแม้แต่น้อย ข้อเท็จจริงนั้นก็คือ การมีอยู่จริงของอิบนฺ สะบาอฺได้รับการพิสูจน์รับรองโดยหนังสือบันทึกชีวประวัติบุคคลต่างๆ ของชีอะฮฺเกือบทุกเล่ม ดร.สะอฺดีย์ อัล-ฮาชิมีย์ ในหนังสือของเขาชื่อ อิบนฺ สะบาอฺ : หะกีเกาะฮฺ ลา เคาะยาล(หน้า 25-28, มักตะบะฮฺ อัด-ดารฺ, มะดีนะฮฺ ฮ.ศ. 1406) ได้จัดทำบัญชีตำราของชีอะฮฺที่รับรองการมีอยู่จริงของอิบนฺ สะบาอฺได้ถึง 20 รายการด้วยกัน ขอยกตัวอย่างหนึ่งเช่น หนังสืออิคติยารฺ มะอฺริฟัต อัรฺ-ริญาล ซึ่งอบู ญะอฺฟัรฺ อัต-ตูซีย์ได้ปรับปรุงจากผลงานของอบู อัมรฺ อัล-กัชชีย์ ซึ่งเป็นพจนานุกรมประวัติผู้รายงานหะดีษของชีอะฮฺในฮิจเราะฮฺศตวรรษที่ 4ในหนังสือดังกล่าว หัวข้ออิบนฺ สะบาอฺมีข้อมูลยาว 2 หน้า(323-324) ประกอบไปด้วยรายงานต่างๆ กันถึง 5 รายงาน ตรงกับหมายเลข 170-174 ต่อไปนี้เป็นรายนามของอิมามทั้ง 5 ที่เป็นต้นต่อของรายงานเรื่องนี้ : 170 : รายงานโดยอิมามมุฮัมมัด อัล-บากิรฺ 171 : รายงานโดยอิมามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก 172 : รายงานโดยอิมามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก 173 : รายงานโดยอิมามซัยนุล อาบิดีน 174 : รายงานโดยอิมามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก(กรุณาดู อิคติยารฺ มะอฺริฟัต อัรฺ-ริญาล, หน้า 323-324, อัส-ซัยยิด มะฮฺดี อัร-ริญาลีย์, พิมพ์โดยมุอัซสะสะฮฺ อะหฺลุลบัยตฺ, เมืองกุม, ฮ.ศ. 1404) ผู้รายงานในหลักฐานข้างต้นทั้งหมดคือชีอะฮฺ เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะนำสมมุติฐานของอัล-อัสการีย์มาใช้กับรายงานต่างๆ ที่อัล-กัชชีย์เป็นผู้บันทึกไว้ เราคงต้องสรุปว่า ซัยฟฺ อิบนฺ อุมัรมีความเก่งกาจสามารถเป็นอย่างยิ่ง จนถึงกับประสบความสำเร็จในการล่อลวงอิมาม(ผู้ที่เชื่อกันว่าดำรงอยู่ในภาวะมะอฺศูม - ไร้บาปไร้มลทิน)ให้หลงเชื่อว่าอับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺนั้นมีตัวมีตนจริงๆ ทั้งที่นายซัยฟฺ อิบนฺ อุมัรกุมันขึ้นมาจากจินตนาการอันบิดเบี้ยวของเขาแท้ที่จริงแล้ว อิบนฺ สะบาอฺมีบทบาทอันน่าทึ่งอยู่ในประวัติศาสตร์ความแตกแยกของอิสลามเลยทีเดียว เขาเป็นคนแรกที่หว่านเมล็ดพันธ์ของลัทธิแห่งความแปลกแยกนี้ลงในสมัยของท่านอุษมาน รอฎิฯ อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺเองนั่นแหละที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในเรื่องนี้ เพราะเหตุนี้ บรรดาหนังสือตำราที่เขียนโดยชาวสุนนีย์ ชาวชีอะฮฺ และแม้กระทั่งบรรดานักบูรพาคดี(Orientalists)ต่างก็มิได้ละเลยบุคคลผู้นี้แม้แต่น้อย ที่จริงบุคคลเหล่านี้ล้วนอุทิศพื้นที่ดีๆ ในหนังสือของพวกเขาให้กับประวัติของผู้มีนามว่าอิบนฺ สะบาอฺ เนื่องจากประวัติตอนนี้มีความสำคัญในประวัติศาสตร์มิใช่น้อยเลย
อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺในหนังสือของสุนนีย์
อิบนฺ อะษากิรฺได้กล่าวไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของท่านว่า "เมื่อท่านอะลี รอฎิฯ ได้รับเลือกเป็นเคาะลีฟะฮฺ ท่านจึงกล่าวคำปราศรัย อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺได้ยืนขึ้นกล่าวว่า "ท่านเป็นผู้เป็นใหญ่แห่งโลก" ท่านอะลีจึงเตือนว่า "จงยำเกรงอัลลอฮฺ" เขากล่าวอีกว่า "ท่านเป็นกษัตริย์" ท่านอะลีได้เตือนอีกครั้งหนึ่งว่า "จงยำเกรงอัลลอฮฺ" เขายืนยันว่า "ท่านสร้างบรรดาสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย และได้กำหนดส่วนแบ่งของพวกเขา" ด้วยเหตุนี้แหละท่านอะลีจึงได้สั่งให้ประหารเขาเสีย" (จากหนังสือประวัติศาสตร์ของอิบนฺ อะษากิรฺ เล่ม 7 หน้า 430)
อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺในหนังสือของนักบูรพาคดี
หนังสือ "History of The Arabs" หรือ "ประวัติศาสตร์อาหรับ" โดยศาสตราจารย์ นิโคลสัน มีบทหนึ่งเขียนถึงเรื่องชีอะฮฺเป็นการเฉพาะ ความตอนหนึ่งมีอยู่ว่า "อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺเป็นชาวเมืองสะนาอฺ อัล-ยะมัน เขาเข้ารับอิสลามในสมัยการปกครองของอุษมาน ก่อนหน้านี้เขาเป็นยิว บรรดานักประวัติศาสตร์กล่าวว่า เขาเคยไปเยือนดินแดนฮิญาซฺ อัล-บัสเราะฮฺและอัล-กูฟะฮฺ สุดท้ายเขาได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอียิปต์ ที่นี้แหละ เขาได้เริ่มทำการการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับการกลับมายังโลกอีกครั้งหนึ่งของมุฮัมมัดในแบบเดียวกับการกลับมาของพระเยซูคริสต์ เขาอ้างว่าศาสดานั้นมีจำนวนเป็นพัน แต่ละท่านล้วนมีผู้รับมรดกการปกครองคนหนึ่ง และผู้รับมรดกการปกครองของมุฮัมมัดคืออะลี แต่อบูบักร อุมัรและอุษมานได้แย่งชิงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺไปจากอะลี" (หน้า 215)
อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺในหนังสือของชีอะฮฺ
ในบรรดาหนังสือสำคัญๆ ของชีอะฮฺ มีหลายเล่มที่เขียนเกี่ยวกับอับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺเอาไว้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ดังตัวอย่างต่อไปนี้ : อัล-กุลัยนีย์ ปราชญ์ชีอะฮฺผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง ได้กล่าวไว้ในหนังสือ "อัล-กาฟีย์" เล่ม 7 หน้า 257 ว่า "มีคนบางคนมาหาท่านอะมีรุ้ล มุอฺมินีน แล้วกล่าวว่า "ขอความสันติจงมีแด่ท่าน พระผู้เป็นเจ้าของเรา" ท่านจึงสั่งให้พวกเขาเตาบะฮฺ(สำนึกผิดและขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ ศุบหฯ) แต่พวกเขาปฏิเสธ ดังนั้นท่านจึงขุดหลุมขึ้นมาแล้วสุมไฟขึ้น จากนั้นจึงโยนพวกเขาลงไปในหลุมไฟ" อนึ่งอัล-กาฟีย์นี้เป็นหนังสือที่แต่งโดยอัล-กุลัยนีย์ นับเป็นหนังสืออ้างอิงที่สำคัญที่สุดของชาวชีอะฮฺ อิมาม อัล-มุนตะซอรฺหรืออิมามมะฮฺดีของชาวชีอะฮฺได้กล่าวยกย่องหนังสือเล่มนี้ว่า “อัล-กาฟีย์นี้เพียงพอแล้วสำหรับพลพรรค(ชีอะฮฺ)ของเรา"อบูมุฮัมมัด อัล-หะซัน อิบนฺ มูซา อัล-เนาบัคตีย์ ซึ่งถือกันว่าเป็นปราชญ์ชีอะฮฺที่สำคัญคนหนึ่งในศตวรรษที่สาม ได้กล่าวถึงอับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺไว้ในหนังสือของท่านชื่อ “ฟิรอก อัล-ชีอะฮฺ" ความตอนหนึ่งท่านกล่าวว่า : "อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ให้ร้ายอบูบักร, อุมัร, อุษมาน และเศาะหาบะฮฺคนอื่นๆ และยังปฏิเสธความสัมพันธ์กับบุคคลเหล่านั้น เขาอ้างว่าท่านอะลี อะลัยฮิสสะลาม นั่นแหละที่ใช้ให้เขาทำเช่นนั้น ท่านอะลี อะลัยฮิสสะลาม จับกุมเขา และขอให้เขาอธิบายพฤติกรรมของเขา เขายอมรับความผิด ท่านอะลีมีคำสั่งให้ประหารเขาเสีย ประชาชนพากันร่ำร้องว่า “โอ้ท่านอมีรุ้ลมุอฺมินีน! ท่านจะเด็ดชีพของบุรุษที่เชิญชวน(ผู้คนทั้งหลาย)ให้รักท่านและอะหฺลุลบัยตฺ และเรียกร้อง(ประชาชน)ไปสู่วิลายะฮฺของท่าน แถมยังตัดความสัมพันธ์กับเหล่าศัตรูของท่านได้อย่างไร" ดังนั้นเขา(ท่านอะลี)จึงเนรเทศเขา(อิบนฺ สะบาอฺ)ไปยังเมืองมะดาอิน(หรือเมืองเซสิโฟน - เมืองหลงของจักรวรรดิ์เปอร์เซียในครั้งกระนั้น) ผู้ทรงความรู้บางคนจากกลุ่มผู้ติดตามท่านอะลี อะลัยฮิสสะลาม กล่าวว่า อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺเป็นชาวยะฮูดีที่มาเข้ารับอิสลามและเกาะติดท่านอะลี อะลัยฮิสสะลาม เมื่อครั้งที่ยังนับถือศาสนายูดาย เขาเคยอ้างว่า ยูชะอฺ(โยชัว) บิน นูน เป็นวะซีย์(ผู้สืบทอดอำนาจ)ของท่านนบีมูซา ภายหลังเมื่อเขาได้เข้ารับอิสลามแล้ว หลังจากท่านนบี ศ็อลฯ วายชนม์ไปแล้ว เขาถือว่าท่านอะลี อะลัยฮิสสะลาม มีฐานะเช่นเดียวกับยูชะอฺ อิบนฺ สะบาอฺเป็นคนแรกที่ประกาศอิมามะฮฺของท่านอะลี อะลัยฮิสสะลาม เขาตัดความสัมพันธ์กับศัตรูของท่าน และประกาศว่าคนเหล่านั้นเป็นฝ่ายปรปักษ์ของเขา เพราะเหตุนี้ บรรดาผู้ที่ต่อต้านชีอะฮฺจึงกล่าวว่า ชีอะฮฺและและรอฟิเฎาะฮฺมีกำเนิดมาจากศาสนายูดาย""ขณะที่อับดุลลอฮฺ อิบนฺ สะบาอฺอยู่ที่เมืองมะดาอิน ข่าวมรณกรรมของท่านอะลีมาถึงหูของเขา เขาพูดกับผู้ป่าวประกาศข่าวดังกล่าวว่า "ท่านโกหก ถ้าท่านนำศีรษะของเขาใส่ถุงมาถึง 70 ใบ และนำคน 70 คนมาเป็นพยานยืนยันมรณกรรมของเขา เรายังคงจะยืนยันว่า เขายังไม่ตาย เขาไม่ได้ถูกสังหาร และเขาจะยังไม่ตายจนกว่าจะได้ปกครองทั่วหน้าพิภพนี้" (กรุณาดูอัล-เนาบัคตีย์, ฟิรอก อัล-ชีอะฮฺ, พิมพ์โดยฮัยดารียะฮฺ เพรส, นะญัฟ ฮ.ศ. 1379/1959, หน้า 43, 44)
เราได้อ่านพอสมควรแล้วว่า ชายชาวยิวผู้นี้เป็นต้นกำเนิดของลัทธิชีอะฮฺ เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างชีอะฮฺกับยิวจึงมีมาตลอดจนถึงทุกวันนี้

ต่อไปนี้ คือ สิ่งที่คุณ อัล-อัซฮะรีย์ ได้เคยนำเสนอ การที่เราจะมาเปรียบเทียบคำสอนต่าง ๆระหว่างยิวและชีอะฮฺนั้น เราสมควรที่จะทำความรู้จักคำภีร์ ตัลมูต ซึ่งเป็นคำภีร์ที่พวกยิวทั่ว โลกยึดคำสอนต่าง ๆจากคำภีร์นี้และพวกเขาเชื่อว่า คำภีร์ตัลมูตนี้ เป็นคำภร์ที่ถูกประทานลงมาจากฟากฟ้า พวกเขามีความเห็นว่า อัลเลาะฮฺทรงประทานคำภีร์เตารอตให้แด่นบีมูซา(อ.) ณ (ภูเขา)ตูรซีนีนโดยการบันทึก แต่อัลเลาะฮฺทรงประทานคำภีร์ตัลมูตแก่นบีมูซาด้วยคำตรัสของพระอ งค์เอง ไม่เพียงเท่านั้น พวกยิวยังถือว่าคำภีร์ตัลมูตนี้มีฐานันดรที่สูงส่งกว่าคำภีร์เต ารอตเสียอีก คำภีร์ตัลมูตมีอยู่ 6000 หน้าด้วยกัน ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " ผู้ที่ใดที่ดูหมิ่นคำกล่าวต่าง ๆของบรรดาบาตรหลวงแล้ว เขาสมควรตาย โดยผู้ที่ดูหมิ่นคำภีร์เตารอตนั้นไม่สมควรตาย และย่อมไม่รอดพ้นปลอดภัยสำหรับผู้ที่ละทิ้งคำสอนของคำภีร์ตัลมู ตโดยที่ให้ความสนใจในคำภีร์เตาร๊อตเพียงอย่างเดียว เพราะคำกล่าวต่าง ๆของนักปราชน์คำภีร์ตัลมูตนั้น ย่อมประเสริฐกว่าสิ่งที่มีอยู่ในชาริอัตของมูซา (ดู อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด ฟีตะอาลีม อัตตัลมูต หน้า44 ของท่านมูซา นัสรุลลอฮฺ ) บาตรหลวงยิวท่านหนึ่งกล่าวว่า " ชาวยิวจะคงอยู่ด้วยสาเหตุการมีคำภีร์ตัลมูต ตราบใดที่คำภีร์ตัลมูตยังคงอยู่ในชาวยิว" ( อัตตัลมูต ชะรีอะฮฺ บนีอิสรออีล หน้า 12 )ดังกล่าวนี้คือแนวคิดของพวกยิวที่มีต่อคำภีร์ตัลมูต แต่เราลองมาดูแนวคิดของพวกชีอะฮฺอิมาม 12 ที่มีต่อคำสอนต่าง ๆของบรรดาอิมามของพวกเขาว่าเป็นอย่างไร ท่านโคมัยนีย์ กล่าวเอาไว้ว่า " แท้จริง คำสอนต่าง ๆของบรรดาอิมามนั้น เสมือนกับคำสอนต่าง ๆของคำภีร์อัลกุรอาน ที่ไม่ได้เฉพาะแก่ชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ทว่ามันเป็นคำสอนให้กับประชาชาติทั้งหมดในทุกยุคทุกสมัยและท ุกเมือง จนถึงวันกิยามะฮฺ " อัลฮุกูมะฮฺ อัลอิสลามียะฮฺ หน้า 112 เชคฺมุฮัมมัด ริฏอ อัลมุซฺ๊อฟฟัร กล่าวว่า " คำสั่งใช้ของบรรดาอิมามคือคำสั่งใช้ของอัลเลาะฮฺ การห้ามของพวกเขาคือการห้ามของอัลเลาะฮฺ การภักดีของพวกเขาคือการภักดีของอัลเลาะฮฺ และการฝ่าฝืนพวกเขาคือการฝ่าฝืนของอัลเลาะฮฺ......และไม่อนุญาติให้คัดค้านพวกเขา เพราะผู้ที่คัดค้านพวกเขาเสมือนการคัดค้านร่อซูลุลลอฮฺและการคั ดค้านร่อซูลุลลอฮฺเสมือนกับการคัดค้านอัลเลาะฮฺ " อะกออิด อัลอิมามียะฮฺ หน้า106

เมื่อเรารู้ถึงแนวคิดต่าง ๆของพวกเขาแล้ว เราก็ลองมาเปรียบเทียบระหว่างแนวทางของยิวและชีอะฮฺกันครับ

พวกยิว เชื่อว่า ศาสนาของพวกเขายังไม่สมบูรณ์ นอกจาก ต้องอ่านคำสอนต่าง ๆของเตาร๊อต มินชาและ ฆอมาร่า ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " โอ้ลูกเอ๋ย เจ้าจงให้ความสนใจคำสอนต่าง ๆของบรรดาปราชน์บาทหลวงให้มากกว่าคำสอนต่าง ๆของกฏหมายของมูซา " (อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า 45) กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตเช่นกันว่า " แท้จริง ผู้ใดที่ศึกษาเตาร๊อต เขาย่อมปฏิบัติความดีงามหนึ่งที่ไม่สมควรที่จะได้รับการตอบแทนใ ด ๆ และผู้ใดที่ศึกษา มันชา เขาย่อมปฏิบัติความดีงามหนึ่งที่สมควรได้รับการตอบแทนรางวัล และผู้ใดที่ศึกษา ฆอมาร่า เขาย่อมปฏิบัติความดีงามหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ " (อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า44) กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตเช่นเดียวกันว่า " เตาร๊อต เปรียบเสมือนน้ำ มันชาเปรียบเสมือนไวน์ และฆอมาร่าเปรียบเสมือนไวน์ที่หอมหวน โดยที่มนุษย์ยังต้องการคำภีร์ทั้งสามนี้" (อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า45)

พวกชีอะฮฺอิมามียะฮฺ เชื่อว่า "อิสลามจะยังไม่สมบูรณ์ด้วยกับสารของท่านนบี(ซ.ล.) แต่จำเป็นต้องเสริมคำสอนต่าง ๆของท่านอลีและท่านฮุเซน ท่านฮะซัน อัชชีรอซีย์ กล่าวว่า " เสมือนกับว่า ศักยาภาพอิสลามนั้น ยังต้องการความทุ่มเทของมุฮัมมัด อลีและอัลฮุเซน จนกระทั้งมันได้ดำรงอยู่ได้ เช่นเดียวกัน อิสลามยังคงไม่สมบูรณ์ในหัวใจดวงหนึ่ง ที่ไม่มีมุฮัมมัด อลีและอัลฮุเซนพร้อมๆกัน เพราะคำสอนต่าง ๆของมุฮัมมัดนั้น เป็นคำสอนในเชิงกำหนดคำสั่งขึ้นมา คำสอนของอลีนั้นในเชิงปฏิบัติอบรมสั่งสอน และคำสอนของอัลฮุเซนนั้นในเชิงของมาตราวัด เมื่อทั้งสามองค์ประกอบนี้ไม่เกิดขึ้น อิสลามก็ปรากฏให้มีขึ้นมาไม่ได้ " ( ดู อัชชะอาอิร อัลฮุซัยนียะฮฺ หน้า 12 )

พวกยิวอ้างว่า " บรรดาบาทหลวงของพวกเขานั้น ประเสริฐกว่า บรรดานบี ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " ท่านพึงทราบเถิด แท้จริงคำกล่าวต่าง ๆของบรรดาบาทหลวงนั้นย่อมประเสริฐกว่าคำกล่าวของบรรดานบี" อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า 46

พวกชีอะฮฺอิมามียะฮฺ เชื่อว่า "บรรดาอิมามของพวกเขานั้นย่อมประเสริฐกว่าบรรดานบี ความเลยเถิดของพวกเขานั้น ได้วางบรรดาอิมามของพวกเขา ให้มีฐานันดรที่ประเสริฐกว่าบรรดานบี ร่อซูลและมวลมะลาอิกะฮฺผู้ใกล้ชิดอัลเลาะฮฺ อัล-ฮุร อัล-อามิลีย์ กล่าวว่า " บรรดาอิมาม 12 นั้น มีความประเสริฐกว่าบรรดามัคโลคทั้งหลาย จากบรรดานบี บรรดาผู้ได้รับการสั่งเสียสืบทอด บรรดามะลาอิกะฮฺและอื่น ๆ " อัล-ฟุซูล อัล-มุฮิมมะฮฺ หน้า152 โคมัยนีย์กล่าวว่า " แท้จริง ให้กับอิมามนั้น มีตำแหน่งที่ได้รับการสรรญเสริญ และฐานันดรที่สูงส่ง และการสืบทอดที่ได้เกิดขึ้นมานี้ ทั้งหมดของธุลีแห่งจักรวาล ได้น้อมแด่อำนาจและการปกครองของมัน และแท้จริง ส่วนหนึ่งจากบรรดาสิ่งจำเป็นต่าง ๆจากแนวทางของเรา คือให้กับบรรดาอิมามของเรานั้น มีตำแหน่ง ที่มะลาอิกะฮฺผู้ใกล้ชิดและนบีที่ถูกส่งมานั้น ไม่สามารถไปถึงได้ " อัล-ฮุกูมะฮฺ อัล-อิสลามียะฮฺ หน้า 52 ท่านอัซซุดูก ได้กล่าวรายงานจากท่านร่อซูลุลอฮฺ(ซ.ล.) ท่านกล่าวว่า "แท้จริงอลีคือมนุษย์ที่ประเสริฐสุด และผู้ใดปฏิเสธ เขาย่อมกุฟุร " อะมาลี อัส-ซุดูก หน้า71

พวกยิว เชื่อว่า บรรดาบาทหลวงของพวกเขานั้นได้รับการคุ้มครองจากความผิด บาทหลวงรุสกี้ หนึ่งจากผู้บันทึกคำภีร์ตัลมูต ได้กล่าววิจารณ์ถึงการขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสองบาทหลวงว่า "แท้จริง บาทหลวงทั้งสองนี้ ได้กล่าวสิ่งสัจจะธรรมเพราะพระเจ้าได้ทำให้บาทหลวงทั้งสองนี้ ได้รับการคุ้มครองจากความผิด " อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า47

พวกชีอะฮ์อิมามียะฮฺ เชื่อว่า บรรดาอิมามของพวกเขานั้น มะซูม ได้รับการคุ้มครองจากความผิด อัซ-ซันญะนีย์ ได้กล่าวจาก อัศศ่อดูกว่า " การศรัทธาเชื่อของเรา ในบรรดานบี ร่อซูล และบรรดาอิมามนั้น พวกเขาได้รับการคุ้มครองจากความผิด พวกเขาสะอาดจากทุกสิ่งโสมม " อะกออิด อัล-อิษนาอะชัร เล่ม 2 หน้า157 เชคฺมะฮัมมัด ริฏอ อัล-มุซ๊อฟฟัร กล่าวว่า " เราเชื่อมั่นว่า อิมามเสมือนกับนบี จำเป็นต้องมะซูม ได้รับความคุ้มครองจากความผิด" อะกออิด อัล-อิมามียะฮฺ หน้า104

พวกยิวเชื่อว่า คำสอนต่าง ๆของบรรดาบาตรหลวงนั้นเหมือนกับชาริอัตของนบีมูซา ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " จำเป็นกับท่าน โดยการพิจารณาคำกล่าวต่าง ๆของบรรดาบาทหลวงนั้น เสมือนกับเตาร๊อต " อัล-กันซฺ อัล-อัรซูด หน้า45

พวกชีอะฮฺ เชื่อว่า คำสอนต่าง ๆของบรรดาอิมามนั้น เหมือนกับอัลกุรอาน โคมัยนย์กล่าวว่า "แท้จริง คำสอนต่าง ๆของบรรดาอิมามนั้น เสมือนกับคำสอนต่าง ๆของคำภีร์อัลกุรอาน ที่ไม่ได้เฉพาะแก่ชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง " อัลฮุกูมะฮฺ อัลอิสลามียะฮฺ หน้า 112

พวกยิว เชื่อว่า ผู้ที่โต้เถียงกับบาตรหลวงนั้น เหมือนกับการโต้เถียงกับอัลเลาะฮฺ ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " ผู้ที่ใดที่โต้เถียงกับบาตรหลวง หรือบาทหลวงผู้สั่งสอน เขาย่อมทำผิด และเสมือนกับว่าเขาได้โต้เถียงกับความเกรียงไกรแห่งพระผู้เป็นเ จ้า " อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า46

พวกชีอะฮฺ เชื่อมั่นว่า ผู้ที่คัดค้านต่อบรรดาอิมามนั้น เสมือนกับการคัดค้านต่ออัลเลาะฮฺ เชคฺมุฮัมมัด ริฏอ อัลมุซฺ๊อฟฟัร กล่าวว่า " คำสั่งใช้ของบรรดาอิมามคือคำสั่งใช้ของอัลเลาะฮฺ การห้ามของพวกเขาคือการห้ามของอัลเลาะฮฺ การภักดีของพวกเขาคือการภักดีของอัลเลาะฮฺ และการฝ่าฝืนพวกเขาคือการฝ่าฝืนของอัลเลาะฮฺ......และไม่อนุญาติให้คัดค้านพวกเขา เพราะผู้ที่คัดค้านพวกเขาเสมือนการคัดค้านร่อซูลุลลอฮฺและการคั ดค้านร่อซูลุลลอฮฺเสมือนกับการคัดค้านอัลเลาะฮฺ " อะกออิด อัลอิมามียะฮฺ หน้า106

พวกยิวอ้างว่า บรรดาบาตรหลวงผู้ใกล้ชิดพระเจ้านั้น คือผู้ที่สั่งสอนบรรดาผู้ประพฤติดีที่อยู่บนฟากฟ้า ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์ตัลมูตว่า " แท้จริงบาทหลวงผู้ใกล้ชิดพระเจ้าน้นคือผู้ที่มาสั่งสอนบรรดาผู้ ประพฤติดีที่อยู่บนฟากฟ้า " ฮะมะญียะอฺ อัตตะอะลี อัซซียานียะฮฺ หน้า25

พวกชีอะฮฺ อ้างว่า" บรรดาอิมามของพวกเขานั้นคือผู้ที่สอนเตาฮีดแก่บรรดามะลาอิกะฮฺ พวกเขาได้รายงานถึงท่านร่อซูล(ซ.ล.) ท่านกล่าวแก่อลีว่า "....หลังจากที่พระองค์ทรงสร้างมะลาอิกะฮฺ ดังนั้นในขณะที่พวกเขาได้เห็นบรรดาวิญญานของเราที่เป็นรัศมีและ พวกเขาก็ให้ความสำคัญแก่เรื่องราวเกี่ยวกับเรา ดังนั้นอัลเลาะฮฺก็ให้เราทำการกล่าวตัสบีฮฺ เพื่อเราได้สอนแก่มวงมะลาอิกะฮฺว่า เรานั้นคือมัคโลค และพระองค์นั้นทรงบริสุทธิ์จากคุณลักษณะต่าง ๆของเรา ดังนั้นบรรดามะลาอิกะฮฺก็ได้ทำการกล่าวตัสบีฮฺอันเนื่องจากเราไ ด้กล่าวตัสบีฮฺและพระองค์ก็บริสุทธิ์จากคุณลักษณะต่างๆของเรา ... ดังนั้น ด้วยกับเรา พวกมะลาอิกะฮฺจึงได้รับทางนำไปยังการรู้จักการเตาฮีดของอัลเลาะ ฮฺ การตัสบีฮฺ การตะฮฺลีล และการตะหฺมีดต่อพระองค์" ดู อิลัล อัล-ชะรอเอี๊ยะ หน้า5
ภาพการประชุมสัมนาระหว่างอุลามะอฺลัทธิชีอะฮฺกับบาทหลวงยิว ในกรุงเบรุตประเทศเลบานอนในช่วงปลายทศวรรษที่ 19



รู้ไหมว่าลัทธิชีอะฮฺเผยแพร่ได้ด้วยเงิน แล้วถามว่าชีอะฮฺเอาเงินจากไหน ลำพังอิหร่านประเทศเดียวงบไม่พอแจกจ่ายหรอก ภาพเหล่านี้ยืนยันได้ชัดเจนว่าชีอะฮฺและอิหร่านรับเงินจากยิวที่คุมเศรษฐกิจโลกเพื่อการเผยแพร่ศาสนาของตน


เราจะร่วมมือกันน้า ยิวจ๋า!!!!



มิตรภาพระหว่างเราจะมีตราบจนวันตาย



อุลามะอฺชีอะฮิกับรับไบชาวยิว



กับยิวกับคริสต์เราคือพี่น้องกันนะ



การประชุมที่อิหร่านเมื่อปี 1997 โดยยิวมอบเงินให้อิหร่านในการเผยแพร่ลัทธิของตน



มีการนำสาวๆชาวยิว(สวยซะด้วย)มาร้องเพลงขับขานเอาใจอุลามะอฺชีอะฮฺด้วย ในภาพคนที่นั่งหันหลังคือ อิมามคอตามีของชีอะฮฺ (หมอนี้อีกแล้วทุกงานเลย กรุณากลับไปดูหัวข้อการมุตอะฮฺ)


รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนยิว จะเกิดชาติไหนๆ ก็อากีดะฮฺเดียวกัน


ร่วมมือกันไว้




แหมๆๆ ไหนล่ะพ่อโคใช่มั๊ยนี่ ที่เคยประกาศกู่ก้องโลกว่าจะต่อสู้กับยิว จะขับไล่ยิวออกจากอิสราเอล ประชุมที่ภาพคุณพี่หราออกขนาดนั้น ยิวคงนับถือท่านมากสินะ





พ่อขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะพ่อชีอะฮฺ


ด้านหลังคือมัสยิดในอิหร่านกับชาวยิว




เฮ้ยพวกมึง รู้ไหมใครลูกพี่กู ภาพข้างหลังกูนี่ ลูกพี่ตัวจริงกู





เรารักนายนะยิว


เราก็รักนายนะชีอะฮฺ





จูบกันนะ รักที่สุดแล้ว

เมื่อสองผู้ยิ่งใหญ่จากสองลัทธิมาเจอกัน นี่เหรอโคไมนี่ของชีอะฮฺที่เคยประกาศตัวจะไล่ยิวออกจากแผ่นดินอาหรับ

ภาพนี้ชัดเจนเลย คนซ้ายคือผู้นำยิวสาขามุสกีโตนามว่า รับไบแคลมิน กับโคไมนี่ที่ชีอะฮฺภาคภูมิใจสะท้อนความเป็นมิตรภาพระหว่างชีอะฮฺกับยิวตราบจนวันตาย






แน่นอนเจ้าจะพบว่า หมู่ชนที่เป็นศัตรูอันรุนแรงแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธานั้นคือชาวยิว และบรรดาผู้ที่ให้มีภาคีแก่อัลลอฮ์(*1*) และแน่นอนเจ้าจะพบว่า บรรดาผู้ที่มีความรักใคร่แก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาใกล้กว่า(*2*) พวกเขา(*3*)นั้นคือ บรรดาผู้ที่กล่าวว่าแท้จริงพวกเราเป็นคริสต์ นั่นก็เพราะว่า ในหมู่พวกเขานั้นมีบรรดานักปราชญ์ และบาดหลวงและก็เพราะว่าพวกเขาไม่เย่อหยิ่ง
(1) หมายถึงพวกมุชริก และพวกกาเฟรทั่ว ๆ ไปนอกเหนือจากพวกอะฮ์ลุลกิตาบ (2) คือใกล้กว่าพวกยิว และพวกมุชริก (3) คือใกล้กว่าพวกยิวและพวกมุชริก




ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงอย่าได้ยึดเอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็นมิตร บางส่วนของพวกเขาคือมิตรของอีกบางส่วน(*1*) และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเอาพวกเขามาเป็นมิตรแล้วไซร้ แน่นอนผู้นั้นก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม
(1) คือยิวนั้นต่างรักใคร่ซึ่งกันและกัน และคริสต์เช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกันทั้งหมดนั้นเป็นศัตรูของมุสลิมีน ด้วยเหตุนี้ถ้าคบพวกเขาเป็นมิตรแล้วพวกเขาก็ย่อมจะล่วงรู้ในความเร้นลับอขงฝ่ายมุสลิม แล้วรายงานให้พวกเขาทราบ และอีกประการหนึ่ง ยิวกับคริสต์นั้นแม้ว่าพวกเขาจะไม่ศรัทธาต่อนะบีของกันและกัน แต่พวกเขาก็ให้ความช่วยเหลือกันในการเป็นศัตรูกับมุสลิม ดังนั้นในสองพวกนี้จึงไม่เป็นที่ไว้วางใจแก่มุสลิมีนได้

3 ความคิดเห็น:

  1. ในสมัยท่านศาสดาพวกมึงรู้ไหม่ว่า มีคนยิวและคริสเตียนจำนวนมากมาถกปัญหาเรื่องอิสลาม รู้ไหม่ว่าศาสดาสอนอิสลามกับพวกนี้ จนถึงขั้นมารับและนับถืออิสลาม
    แต่พวกมึงมันล้าหลังเหมื่อนกับที่ศัตรูอิสลามมันด่าอยู่ทุกวัน ว่าอิสลามคือศาสนาที่ล้าหลัง มีแต่ความรุ่นแรง ก็ถูกของพวกมัน เพราะมันเจออิสลามจอมปลอมของพวกมึง อิสลามที่อังกฤษและอเมริกาสร้างขึ้นมา ค่อยทำลายเกียรติยศของศาสนา พวกมึงลาออกไปอยู่ศาสนาอื่นเถอะ ตั้งศาสนาของมึงมาและเอา ใอ้หมากะดอ หรือใอ้หมามุรีดก็ได้นะ กูชีอะห์ กทมโว้ย

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ8 เมษายน 2555 เวลา 21:55

    ศาสนาที่ทันสมัยแบบชีอะห์ ต้องทำแบบนี้
    กราบไหว้ไอ้โคไมนี่ชัยตอน
    เอามีดสับหลังกับหัวกระบาลตัวเองให้เลือดอาบ ตบกระบาลโง่ฯของตัวเองด้วย
    อาบขี้อิหม่ามที่หอมเหมือนชะมดเชียง
    สวิงกิ้งกับผู้หญิงอื่นได้ไม่บาป(นิกะห์ชั่วคราว)
    แปลงเพศได้เพราะไอ้เหี้ยโคมัยนี่มันตัดสินว่าทำได้
    เวลาตกใจให้นึกถึงอาลีเพราะอาลีเป็นพระเจ้า..อาลีช่วยด้วย...
    ฆ่าคนที่ไม่ใช่ชีอะห์ได้ ไม่บาป เด็ก ผู้หญิง คนไม่มีทางสู้
    มีคัมภีร์ฉบับฟาติมะฮ์ เพราะอัลกรุอ่านไม่สมบูรณ์
    เป็นมิตรแท้กับยิว

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ8 เมษายน 2555 เวลา 22:03

    ชีอะห์อย่างพวกมึง เกิดมาหลายร้อยปีก็ไม่ได้รุดหน้าไปถึงไหน
    เผยแพร่ในยุโรปและอเมริกา ก้อไม่ค่อยมีคนยอมรับ เพราะฝรั่งมันเห็นว่าอะไรงมงาย ไร้สาระ จอมปลอม
    ไอ้ ssss ถ้ามึงแน่จริงมึงละหมาดแล้วขอต่ออัลเลาะหฺดิว่าที่มึงนับถืออยู่นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้ามึงคิดผิดขอให้อัลเลาะห์ลงโทษมึงในโลกดุนยานี้อย่างสาสม ขอให้พระองค์ทำให้มึงพิการก็ได้ เพื่อที่มึงจะได้กลับตัวกลับใจ
    ไม่ถูกโยนลงในไฟนรก มึงกล้าไหมว่ะ

    ตอบลบ